Mazda ปลื้มอัตราการกลับมาซื้อรถซ้ำของลูกค้าเพิ่มขึ้น 100%

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

Mazda ปลื้มอัตราการกลับมาซื้อรถซ้ำของลูกค้าเพิ่มขึ้น 100%

Date Time: 7 เม.ย. 2566 13:00 น.

Video

เปิดทริกวางแผนการเงิน เพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพ

Summary

  • Mazda ปลื้มอัตราการกลับมาซื้อรถซ้ำของลูกค้าเพิ่มขึ้น 100% พร้อมชูกลยุทธ์ Retention Business Model สร้างแบรนด์และบริการหลังการขาย

Latest


Mazda ปลื้มอัตราการกลับมาซื้อรถซ้ำของลูกค้าเพิ่มขึ้น 100% พร้อมชูกลยุทธ์ Retention Business Model สร้างแบรนด์และบริการหลังการขาย

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Mazda กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา มาสด้ากำหนดแนวทางในดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดลธุรกิจ Retention Business Model สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Touchpoints ส่งมอบการบริการที่เป็นเลิศแบบครบวงจร ตั้งแต่ก่อนการขายจนถึงการบริการหลังการขาย

นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างคุณค่าแบรนด์และสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว นับเป็นนโยบายสำคัญที่มาสด้ายึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ และส่งมอบให้กับลูกค้าในประเทศไทยและทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าและแฟนมาสด้า รวมถึงผู้จำหน่ายด้วยเช่นกัน

สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามาสด้าประสบความสำเร็จจากการนำ Rentention Business Model มาใช้ โดยเฉพาะในด้านของการกลับมาเข้ารับบริการของลูกค้า หรือ Service Retention ที่เพิ่มขึ้นจาก 72% ในปี 2561 เป็น 85% มีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้า หรือ Repurchase เพิ่มสูงขึ้นจาก 15% ในปี 2561 เป็น 30% ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 100% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่มาสด้าวางไว้

ขณะเดียวกัน แผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง (Residual Value) มีราคาขายต่อสูงขึ้น เช่น มาสด้า 2 อายุ 6 ปี มีมูลค่าการขายต่อเพิ่มขึ้นเป็น 55%

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2566 นี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดย คาดว่าตัวเลข GDP จะโตอยู่ในช่วง 3.3%-3.7% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวด้านการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ภาคการเกษตรและการส่งออก ทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

ทั้งนี้ เราคาดการณ์ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5% คาดว่ายอดรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 คัน ในขณะที่มาสด้าได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3.5% เนื่องจากจะมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ

อีกหนึ่งความสำเร็จ คือ รถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้ามุ่งมั่นพัฒนาจนได้รถยนต์ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งใช้แนวทางการออกแบบ KODO-Soul of Motion ในการสร้างความโดดเด่นให้กับตัวรถ

ทั้งนี้ มาสด้าเริ่มจำหน่ายรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟรุ่นแรกในประเทศไทย เมื่อ พ.ย. 56 และประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น จนถึงปัจจุบันอยู่ในการครอบครองของลูกค้าแล้วมากกว่า 360,000 คัน แบ่งเป็น

- มาสด้า 2 ยังคงครองความนิยมในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ด้วยจำนวน 224,000 คัน
- มาสด้า 3 จำนวน 42,000 คัน
- มาสด้า CX-3 จำนวน 30,000 คัน
- มาสด้า CX-30 จำนวน 20,000 คัน
- มาสด้า CX-5 จำนวน 35,000 คัน
- มาสด้า CX-8 จำนวน 6,000 คัน
- มาสด้า MX-5 จำนวน 150 คัน
- มาสด้า BT-50 จำนวน 3,000 คัน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจ Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ต้องเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention

รวมถึงรักษาส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละพื้นที่ Maintain Market Share นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่ครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามุ่งมั่นเพื่อเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง Mid-Term Management Plan ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ