จับสัญญาณการลงทุนของบิ๊กเทคอย่าง Apple หลังประกาศวางแผนทุ่มงบประมาณปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 34.1 พันล้านบาท ลงทุนสร้างภาพยนตร์บุกวงการฮอลลีวูด
Bloomberg รายงานถึง แผนธุรกิจในครั้งนี้ว่า Apple จะร่วมผลิตกับสตูดิโอระดับโลกและนำเข้าฉายในโรงภาพยนตร์หลายพันแห่งทั่วสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วออริจินอลหรือภาพยนตร์ต้นฉบับของ Apple มักถูกบังคับให้ฉายในโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กหรือฉายใน Apple TV+ เท่านั้น
โดยมีรายชื่อภาพยนตร์ที่ผลิตเสร็จและต่อคิวฉายรอบปฐมทัศน์ที่เมืองคานส์อย่าง ‘Killers of the Flower Moon’ นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ซึ่งผลิตร่วมกันกับค่ายหนังของผู้กำกับระดับตำนาน มาร์ติน สกอร์เซซี ที่ลงมากำกับเองอีกด้วย มีกำหนดฉายทางสตรีมมิงควบคู่กับโรงภาพยนตร์ผ่านทาง Paramount ในปีนี้
หลังจากข่าว Apple เผยแพร่ ได้ส่งผลให้หุ้นของโรงภาพยนตร์รายใหญ่อย่าง AMC (AMC), IMAX (IMAX) และ Cinemark (CNK) ปรับตัวสูงขึ้นในการซื้อขายช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาถึง 5%, 5% และ 8.5% ตามลำดับ ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการจาก Apple
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะการลงทุนผลิตออริจินอลคอนเทนต์ และการสร้างภาพยนตร์สู่อุตสาหกรรมฮอลลีวูด กลายเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวให้กับผู้ให้บริการสตรีมมิง ดังเช่น Netflix แถมล่าสุด Apple TV+ ยังได้ส่ง CODA ภาพยนตร์ฟีลกู๊ดคว้ารางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ในปีที่ 2564 อีกด้วย
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมภาพยนตร์วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Apple กับ Thairath Money ว่า การประกาศอัดงบลงทุนที่สูงในครั้งนี้ของ Apple อาจกำลังพิสูจน์ศักยภาพของธุรกิจสตรีมมิงของบริษัทอีกครั้ง อีกทั้งการเห็นโอกาสของยุค Post Covid ที่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่กลับมาฟื้นตัวคึกคัก
Apple มีความได้เปรียบด้านเงินทุน และภาพลักษณ์ความพรีเมียม ซึ่งที่ผ่านมาภาพรวมการผลิตออริจินอลซีรีส์และภาพยนตร์ของ Apple สามารถสั่นคลอนบัลลังก์คู่แข่งอย่าง Netflix มาเป็นระยะ
ก่อนหน้านี้ภาพยนตร์เรื่อง 'The Tragedy of Macbeth' สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเข้าชิงรางวัลแกรนด์สแลมของเวทีออสการ์ถึง 3 รางวัล ตามด้วย 'CODA' ที่ดัดแปลงมาจากเรื่อง La Famille Belier ภาพยนตร์ฝรั่งเศสอันเป็นที่รักของใครหลายคน และยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่นำแสดงโดยคนหูหนวกเป็นส่วนใหญ่ โดยนักแสดงหลักอย่าง มาร์ลี แมทลิน เป็นนักแสดงหูหนวกคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์อีกด้วย เรียกได้ว่าสร้างภาพจำให้กับแบรนด์ Apple TV+ ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ในฐานะที่ Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยี ทำให้มีภาษีที่ดีกว่าเป็นเท่าตัว Apple อาจกำลังต่อยอดระบบนิเวศขนาดใหญ่ของตน และสร้างฉากทัศน์ใหม่ของบริษัทเทคฯ ในฐานะผู้เล่นนอกอุตสาหกรรมที่เข้ามาหารายได้ เปิดทางให้บริษัทเทคฯ เจ้าอื่น หรือธุรกิจอื่นๆ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
อย่างที่เห็นแล้วว่า Amazon เอง ก็กำลังผลักดัน Prime Video คู่กับอีคอมเมิร์ซ มีการเข้าซื้อค่ายผู้ผลิตและลงทุนสร้าง Amazon Studio สตูดิโอรองรับการผลิตคอนเทนต์ของตนเองเช่นเดียวกัน
นับตั้งแต่เปิดตัว Apple TV+ ซีรีส์และภาพยนตร์ของ Apple ได้รับรางวัลไปแล้วถึง 202 รายการ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงกว่า 900 รายการในรางวัลใหญ่อย่าง Academy Awards, SAG Awards, Critics Choice Awards, Critics Choice Documentary Awards, NAACP Image Awards และ Primetime Emmy Awards และอีกมากมาย.
ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า Apple TV+ มีสมาชิกประมาณ 20 ถึง 40 ล้านคน ซึ่งห่างกว่าคู่แข่งมาก ถ้าเทียบกับเจ้าสนามอย่าง Netflix ที่สร้างรายได้มากกว่า 400 พันล้านดอลลาร์ต่อปี จากฐานสมาชิกประมาณ 200 ล้านคน
ที่ผ่านมา Apple ใช้งบกว่า 3-6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีไปกับการเพิ่มคอนเทนต์ที่ทำให้ Apple TV+ น่าสนใจ สร้างเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์ และหาชมได้ในที่เดียว สุดท้ายแล้ว การเดิมพันด้วยคอนเทนต์คุณภาพ จะการันตีรายได้ หรือปลดล็อกคุณค่าใหม่ให้ธุรกิจ Apple หรือไม่อาจต้องติดตามกันต่อไป