เนสท์เล่ ตรึง "ราคาสินค้า" แม้ต้นทุนพุ่งสูงมากกว่า 8% หวั่นกระทบผู้บริโภค

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เนสท์เล่ ตรึง "ราคาสินค้า" แม้ต้นทุนพุ่งสูงมากกว่า 8% หวั่นกระทบผู้บริโภค

Date Time: 8 มี.ค. 2566 14:50 น.

Video

ล้วงลึกอาณาจักร “PCE” สู่บริษัทมหาชน ปาล์มครบวงจร | On The Rise

Summary

  • เนสท์เล่ ประกาศตรึง "ราคาสินค้า" แม้ต้นทุนพุ่งสูงมากกว่า 8% หวั่นกระทบผู้บริโภค พร้อมดันกลยุทธ์ ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา ตอบโจทย์คนไทย

Latest


เนสท์เล่ ประกาศตรึง "ราคาสินค้า" แม้ต้นทุนพุ่งสูงมากกว่า 8% หวั่นกระทบผู้บริโภค พร้อมดันกลยุทธ์ ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา ตอบโจทย์คนไทย

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 66 นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า เราดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 130 ปี โดยที่ผ่านมา เนสท์เล่ประเทศไทย มีพนักงานราว 4,000 คน และสร้างวัฏจักรให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ผ่านพันธมิตรทางธุรกิจ อีกกว่า 10,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ เรายังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยกว่า 13,600 ล้านบาท ด้วยการเปิดโรงงานใหม่ 2 แห่งในไทยในช่วงปี 2018-2022 อีกทั้ง ยังมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทยหลายชนิดไปนานาประเทศอีกด้วย

ปัจจุบัน เนสท์เล่ มีผลิตภัณฑ์ 100 รายการที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ หรือ Healthier Choice Logo ผลิตภัณฑ์โภชนาการสำหรับเด็กของเนสท์เล่ทั้งหมด 100% ยังมีการเสริมแร่ธาตุและวิตามิน เพื่อช่วยป้องกันการขาดสารอาหารในเด็กวัยหัดเดินและเด็กเล็ก รวมทั้งยังได้ดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนคนไทยมาหลายทศวรรษ

"การขึ้นราคาจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำ เราพยายามควบคุมต้นทุนการผลิต โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องจะพุ่งสูงขึ้น ประมาณ 8% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของสินค้าทุกกลุ่ม หากดูเป็นสินค้าแต่ละตัว บางสินค้ามีต้นทุนขึ้นสูงมากกว่านั้น แต่เราก็ไม่ได้ขึ้นราคา หรือขยับราคาไปไกลถึง 8%"

โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา เนสท์เล่มีการเติบโตอยู่ที่ 3.5-4% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยเราลงทุนในสายการผลิตของหน่วยธุรกิจเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ หรือ Purina Pet Care จำนวน 500 ล้านฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี และในปีนี้จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นถึง 50%

นอกจากนี้ เนสท์เล่จะมีลงทุนโดยรวมในปี 2566 จำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงาน จำนวนประมาณ 6,500 ล้านบาท และลงทุนในด้านธุรกิจและการตลาด จำนวนประมาณ 3,500 ล้านบาท

นายวิคเตอร์ กล่าาวอีกว่า จากผลการวิจัยล่าสุดเราพบว่า โลกยุคหลังโควิด ผู้บริโภคนอกจากจะมีการบริโภคนอกบ้านมากขึ้น และเกิดการบริโภคจากความอยากซื้อทันทีโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนแล้ว ส่วนเทรนด์ผู้บริโภคระยะกลางถึงระยะยาว พบว่า คนไทยหันมาใส่ใจกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล หรือ Balanced Diet และการมีไลฟ์สไตล์ที่รักษ์โลกมากขึ้น

ปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยการเติมเต็มชีวิตในด้านสังคมและจิตใจ ซึ่งหมายถึง การรับประทานอาหารอย่างสมดุล และทำให้สุขภาพดีขึ้น ซึ่งผู้บริโภคปรับสมดุลการบริโภคโดยเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น แต่ยังคงรับประทานของหวานหรือขนมที่สร้างความสุขสุนทรีย์เล็กๆ น้อยๆ ให้กับจิตใจ ที่สำคัญคือ ผู้บริโภคจะไม่ประนีประนอมเรื่องรสชาติ คือทุกอย่างต้องมีรสชาติอร่อยเท่านั้น

ขณะที่ผู้บริโภคที่มีอายุมากกว่า 45 ปี เริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนมากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี ก็ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่มีแนวทางด้านความยั่งยืน และคาดหวังมากขึ้นว่า แบรนด์จะทําหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมีความโปร่งใสมากขึ้น สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์รักษ์โลก ผู้บริโภคใส่ใจว่า ผลิตภัณฑ์มีที่มาจากไหนและผลิตมาอย่างไร ทุกวันนี้ คนไทย 62% ระบุว่า ได้นําแนวการบริโภคอย่างยั่งยืนมาใช้ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม เนสท์เล่มีความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนตลาดประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราได้อยู่เคียงข้างคนไทยมากว่า 130 ปี โดยในปีนี้และในอนาคตข้างหน้า เนสท์เล่จะเน้นสองกลยุทธ์หลักคือการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) ที่จะสานต่อความมุ่งมั่นของเราในเรื่องโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมรสชาติที่อร่อย

พร้อมทั้งขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) เพื่อให้มั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์และการดําเนินงานของเนสท์เล่มีความยั่งยืน ทั้ง 2 กลยุทธ์สำคัญนี้จะช่วยให้เราสามารถ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยในการรับประทานอาหารอย่างสมดุล ด้วยทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ ในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมๆ กับการช่วยให้โลกเราน่าอยู่มากขึ้นด้วย

เดินหน้ากลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน

นายวิคเตอร์ กล่าวอีกว่า เรายังเดินหน้ากลยุทธ์ ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา เพื่อให้มั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์และการดําเนินงานของเนสท์เล่มีความยั่งยืนด้วยความมุ่งมั่นในการดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เนสท์เล่ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักในขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กําหนดทิศทาง และการดำเนินงานหลักๆ ของบริษัท

จากการดำเนินงานตามแผนงานด้านความยั่งยืนของเนสท์เล่ ในประเทศไทย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในทุกด้าน อาทิ 95% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ มีการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต และได้มีการใช้เมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน 100%

ในปีนี้ เนสท์เล่จะดำเนินสองโครงการใหม่เพื่อช่วยให้ก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ซึ่งโครงการแรกเป็นการต่อยอดความสําเร็จของโครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำที่อยุธยา โดยขยายไปสู่โครงการใหม่ในการพิทักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำหนองทุ่งทองในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์น้ำของโรงเรียนและชุมชนโดยรอบพื้นที่ชุ่มน้ำริมแม่น้ำตาปี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานสุราษฎร์ธานี ที่ใช้ผลิตน้ำดื่มของเนสท์เล่

นอกจากนี้ เนสท์เล่ในประเทศไทย ยังได้จับมือกับ PUR Projet ในการปลูกต้นไม้ 800,000 ต้น ในไร่กาแฟที่จังหวัดระนองและชุมพร โดยมีเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ประมาณ 200,000 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่นของเนสท์เล่ระดับโลกในการลดคาร์บอนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์