ไก่ทอด เมนูยอดฮิตรับประทานง่าย อร่อย ถูกปาก เป็นเมนูที่หลายๆคนคิดถึงได้ตลอดเวลา มูลค่าการตลาดในประเทศไทยหลายหมื่นล้านบาท หากรับประทานได้ง่ายตามสองข้างทางไปจนถึงภัตตาคารหรูหรา
ส่วนหนึ่งมาจากกระแสโปรโมตของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่กระตุ้นตลาดให้ตื่นตัวตลอดเวลา เอาเรื่องราวของความทันสมัย สื่อดิจิทัล โซเชียลมีเดีย เพื่อให้แบรนด์สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเร้าใจให้เกิด ความถี่ในการซื้อสินค้าดังที่เราทราบกันดี
ถ้าพูดถึงแบรนด์ไก่ทอดยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันแน่นอนผู้บริโภคต้องนึกถึง 1.เคเอฟซี (KFC) แบรนด์ระดับโลกจากสหรัฐฯ 2.บอนชอน (Bonchon) แบรนด์จากเกาหลี และ 3.ห้าดาว (Five Star) โดยกลุ่ม ซี.พี.ยักษ์ใหญ่ของไทย
หากจะเปรียบเทียบโมเดลธุรกิจของการขยายสาขาเพื่อครองใจผู้บริโภคคนไทยค่อนข้างจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย KFC ดำเนินธุรกิจผ่าน 3 แฟรนไชส์ใหญ่ เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป (CRG) ในเครือเซ็นทรัล, เรสตอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ (RD) และ Food of Asia (FOA) ในเครือไทยเบฟ เพิ่งจะฉลองครบ 1,000 สาขาในประเทศไทยเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา โดยมียอดขายรวมกันมากกว่า 20,000 ล้านบาท
รูปแบบของการธุรกิจของ “เคเอฟซี” ดูเหมือนว่าจะง่ายที่สุดด้วยกลยุทธ์ “มัลติ สโตร์ ฟอร์แมต” รูปแบบของการขยายสาขาจะขึ้นอยู่กับทำเลย่านนั้นๆ เช่น นับตั้งแต่การปรับรูปแบบอาคารพาณิชย์มาปรับเป็นร้านเคเอฟซี, ไดรฟ์ทรู, พาร์ค แอนด์ โก, สาขาในศูนย์การค้าและสาขาแฟล็กชิป
สำหรับ “บอนชอน” ไก่ทอดสไตล์เกาหลี หลังจากกลุ่มไมเนอร์ได้ปิดดีลมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อซื้อบอนชอนในไทยจำนวน 42 สาขา เพื่อเสริมพอร์ตไก่ทอดเข้าในธุรกิจอาหาร จนล่าสุดได้ออกมาเผยตัวเลขขยายสาขาไปกว่า 106 สาขา พร้อมตั้งเป้าไว้ที่ 200 สาขา โมเดล ธุรกิจของบอนชอนจะเน้นบริการนั่งรับประทานในรูปแบบไฟน์ไดนิ่ง
รวมทั้งรูปแบบใหม่ๆที่เริ่มจะออกไปในตลาด ต่างจังหวัดให้ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆได้ใช้บริการ พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกคือ “ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี” เพื่อสื่อสารถึงกลุ่ม “เจนแซด” ที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปีมากขึ้น จากเดิมจะเป็นกลุ่มใหญ่ 18-45 ปี
ทางด้าน “ห้าดาว” ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยที่มีอายุกว่า 38 ปี หลังจากเปิดตลาด “ไก่ย่าง” เป็นเมนูแรก และปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ สนับสนุนให้คนไทยลงทุนเป็นเจ้าของกิจการ โดยทางบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สนับสนุนให้ความรู้ การบริหารจุดขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดเพื่อให้ธุรกิจเติบโต
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริโภคคนไทยนิยมบริโภค “ไก่ทอด” มากกว่า “ไก่ย่าง” จึงทำให้ทางซีพีเอฟได้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจมาเน้นเมนูไก่ทอด
นายสุนทร จักษุกรรฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจห้าดาว บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจของห้าดาวในปีนี้จะอัตราเติบโตมากกว่า 15% โดยปีที่ผ่านมาธุรกิจของห้าดาวทำรายได้ที่ 6,500 ล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย หลังจากธุรกิจกลับมาเปิดตัวเป็นปกติตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ในปีที่ผ่านมา
“ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ห้าดาวมีจำนวนสาขาในประเทศไทย 5,100 สาขา เป็นการลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ 100% ส่วนตลาดต่างประเทศได้ขยายไปแล้ว 9 ประเทศในกลุ่มอาเซียนและเอเชียใต้ โดยตลาดเวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และอินเดีย มีศักยภาพการเติบโตสูงมาก ซึ่งจะใช้ไทยเป็นต้นแบบทั้งการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ การทดลองขยายสาขารูปแบบต่างๆ การสร้างแบรนด์กับเป้าหมายเพื่อเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาคและไปสู่ระดับโลกในอนาคต โดยปีนี้ตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 9,000 สาขาทั้งในและต่างประเทศ”
ขณะเดียวกัน ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มหลายแบรนด์จะขยายแฟรนไชส์ในตลาดพรีเมียม อาทิ ข้าวมันไก่ไห่หนาน และสตรีทฟู้ดร้านกระทะเหล็กในศูนย์การค้า รวมถึงฟอร์แมตใหม่ที่เปิดควบคู่กันกับร้านกาแฟสตาร์คอฟฟี่
นายสุนทร กล่าวว่า การเป็นผู้นำในธุรกิจแฟรนไชส์อาหารของประเทศจะต้องเน้นกลยุทธ์ประกอบด้วย 1.พัฒนาแฟรนไชส์ให้มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง จะทำยังไงให้เถ้าแก่เล็กกลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ 2.ร่วมกับพันธมิตรหาทำเลที่ดี เช่น สถานีบริการน้ำมัน โรงพยาบาล รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด 3.ร่วมกับแบรนด์ต่างๆออกสินค้าใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆเพิ่มขึ้น ผลักดันนวัตกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆมาทดแทนการขาดแคลนแรงงานซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน 4.การสร้างแบรนด์ ที่ผ่านมาทำภาพยนตร์โฆษณา 2 เรื่อง สื่อสารถึงสมาชิกในครอบครัวมีความคิดไม่เหมือนกันแต่เมื่อคิดถึงอาหารแล้วคิดถึง 5 ดาว ซึ่งประสบความสำเร็จมากมีผู้ติดตามชมถึง 41 ล้านครั้ง
สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องทำให้เห็นว่า “ห้าดาว” เป็นส่วนหนึ่งในชุมชน เป็นหนึ่งในใจของคนที่สนใจอยากทำธุรกิจของตัวเอง.
วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th