หากพูดถึงร้านโชห่วย ภาพที่ฝังแน่นในความทรงจำของใครหลายคนคงเป็นภาพของร้านค้าขนาดกะทัดรัดใกล้ๆ บ้าน ที่แค่เดินเข้าไปก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากความเป็นกันเองของเจ้าของร้าน แม้สินค้าอาจจะไม่ได้มากมายนัก แต่ทุกอย่างที่วางขายล้วนตอบโจทย์ความเป็นอยู่ จนอาจกล่าวได้ว่าชุมชนท้องถิ่นหลายๆ แห่งจะสมบูรณ์ไม่ได้เลยหากขาดร้านโชห่วยที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ยืนยันได้จากจำนวนร้านโชห่วยทั่วประเทศที่มีมากถึง 400,000 ร้านค้า
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันร้านโชห่วยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากการเติบโตของสังคมเมืองและความผันผวนทางเศรษฐกิจ จนหลายๆ ร้านไม่อาจยืนอยู่ได้ และอาจส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจรากหญ้าพบกับวิกฤติ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงองค์รวมระดับประเทศ ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์ดังกล่าว แพลตฟอร์ม “ร้านโดนใจ” โดย บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) จึงได้ถือกำเนิดขึ้น โดยอาศัยพลังของค้าปลีกมากประสบการณ์อย่าง Big C เข้ามาช่วยสนับสนุนอย่างตรงจุดและครบวงจร พร้อมยกระดับให้ร้านโชห่วยดั้งเดิมก้าวไปอีกระดับ ด้วยระบบจัดการที่ดีและการมีที่ปรึกษาที่เข้าใจอย่างแท้จริง
และในวันที่ 18 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ทางด้าน BJC ก็พร้อมแล้วจะจับมือทุกภาคส่วนทะยานไปอีกขั้น กับการแถลงข่าวเปิดตัวเหล่าคู่ค้าและพันธมิตรกว่า 30 บริษัท ทั้งกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ และสถาบันทางการเงินต่างๆ ที่จะมาร่วมสร้างแพลตฟอร์ม “ร้านโดนใจ” ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเก่า พร้อมสานความร่วมมือพัฒนาร้านโชห่วยอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชุมชนทั่วไทยให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งความมุ่งมั่นดังกล่าวถูกถ่ายทอดไว้อย่างชัดเจนโดย คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ภายในงานแถลงข่าวครั้งนี้
"โดนใจใส่ใจ ใกล้บ้านคุณ" แพลตฟอร์มที่เป็นมิตร เพื่อมาพัฒนาโชห่วยจาก BJC
“จริงๆ แล้วร้านโชห่วยมีความเป็นรากฐานของเราคนไทยนะคะ จำนวนร้านก็มากถึง 400,000 แล้วก็ยังมีความคล่องตัว มีความส่งต่อรุ่นสู่รุ่น เป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นหากเจ้าของร้านสามารถเข้าถึงการส่งถ่ายสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ราคาที่ดีด้วย ก็จะเพิ่มพูนด้านของความเจริญต่างๆ ทั้งในพื้นที่ ฉะนั้นการเข้าไปสนับสนุนร้านโชห่วยจึงเป็นโอกาสในการมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืนที่แท้จริง”
คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กล่าวภายในงานครั้งนี้ถึงเหตุผลในการมุ่งเป้าพัฒนาร้านโชห่วยที่ในตอนนี้ยังไม่มีผู้เล่นลงมาให้ความสนใจมากนัก ซึ่งด้วยมุมมองอันเฉียบคมและความต้องการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจพื้นฐาน ที่เป็นแนวคิดที่ส่งต่อกันมาใน “ครอบครัวสิริวัฒนภักดี” ที่เติบโตมากับร้านโชห่วย โครงการร้านโดนใจจึงเริ่มคิกออฟมาตั้งแต่ปี 2564 โดยเป็นการพัฒนาโครงการไปพร้อมกับการลงพื้นที่ทำงานจริง เพื่อเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่กำลังย่อตัวในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา และจากการลงมืออย่างหนัก โครงการร้านโดนใจจึงได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2565 ด้วยหวังจะพัฒนาร้านโชห่วยของไทยให้มีระบบบริหารจัดการที่ดีและเติบโตได้ในระยะยาว
โดยในวันนี้นอกจากร้านค้าที่มาเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น บริษัทยังมีพันธมิตรมาร่วมลงแรงและลงความคิดอีกมากมาย ส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งทั้งในแง่ความหลากหลายของสินค้า ไอเดียในการพัฒนาแพลตฟอร์ม รวมไปถึงการสนับสนุนด้านเงินทุนจากธนาคารและสถาบันทางการเงินชั้นนำ ที่จะช่วยให้เครือข่ายร้านโดนใจเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
แตกต่างจากแฟรนไชส์ ด้วยการมอบ “ความเป็นเจ้าของ”
คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กล่าวว่า ทีมงานของร้านโดนใจได้ลงพื้นที่ทั่วประเทศอย่างหนักเพื่อศึกษาร้านโชห่วยอย่างถ่องแท้ จนในที่สุดก็เข้าใจว่าหัวใจสำคัญของร้านค้ารูปแบบนี้คือ “ความแตกต่าง” โดยในแต่ละพื้นที่ก็จะมีความต้องการสินค้าไม่เหมือนกัน แตกต่างไปตามแต่ละชุมชนและวิถีชีวิต เจ้าของร้านเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้คนในพื้นที่ ซึ่งสิ่งนี้คือความพิเศษที่ร้านในรูปแบบแฟรนไชส์ไม่สามารถมอบให้ได้ ดังนั้นเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งหัวใจสำคัญพร้อมยกระดับร้านโชห่วยไปในคราวเดียว โมเดลธุรกิจของร้านโดนใจจึงถูกออกแบบมาอย่างเข้าใจ โดยยังคงมอบ “ความเป็นเจ้าของ” ให้กับผู้ประกอบการ กล่าวคือ BJC จะนำเสนอความยืดหยุ่นในการสั่งซื้อสินค้า เปิดโอกาสให้เจ้าของร้านเลือกได้เองว่าต้องการขายอะไร ปริมาณเท่าใด รวมไปถึงสามารถปรึกษาเพื่อหาโปรโมชันที่เหมาะสมกับคนในชุมชนได้ โดยยอดขายที่ได้ไม่ต้องแบ่งผลกำไรให้บริษัท
นอกจากนี้รูปแบบของร้านก็จะยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ดั้งเดิม BJC เพียงจะเข้าไปช่วยตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้น รวมถึงเสริมเพิ่มเติมด้วยอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ป้ายต่างๆ ชั้นวาง ตู้แช่ เครื่องแคชเชียร์ รวมไปถึงจุดแข็งสำคัญที่สุดคือระบบ POS ที่บริษัทพัฒนามาเป็นอย่างดีเพื่อช่วยให้ร้านค้าทำงานได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องกังวลเรื่องตัวเลข และการจัดการสินค้าต่างๆ สามารถสรุปงบ ทำบัญชี รวมไปถึงสั่งสินค้าได้อย่างสะดวก ไร้กังวล ด้วยเครือข่ายกระจายสินค้าจาก Big C ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ในด้านการลงทุน จากการที่แพลตฟอร์มมีพันธมิตรเป็นธนาคารและสถาบันทางการเงินชั้นนำ จึงสามารถมอบสิทธิพิเศษได้มากกว่า โดยธนาคารแต่ละพื้นที่จะมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจระบบของร้านโดนใจ ทำให้ไม่ว่าผู้สนใจเป็นสมาชิกจะอยู่แห่งใดของประเทศก็สามารถเดินเข้าไปปรึกษาได้ทันที นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นร้านที่ตั้งใหม่หรือร้านเดิมที่มีอยู่แล้วก็สามารถเข้าร่วมได้โดยใช้ทุนไม่มากนัก เช่น กรณีของการเปิดร้านใหม่ซึ่งจะรวมในส่วนของการก่อสร้างต่างๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายราว 3-7 แสนบาท ซึ่งทางโครงการโดนใจจะช่วยลงทุนให้ และทางเจ้าของร้านจะเติมกลับเข้ามาในรูปแบบเงินประกัน 45% ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เงินประกันนี้ก็จะกลับคืนสู่เจ้าของร้านเมื่อครบสัญญา 3 ปี ส่วนเจ้าของร้านที่มีร้านอยู่แล้วก็จะใช้ทุนเพียงประมาณ 5-7 หมื่นบาทก็สามารถเข้าร่วมได้เลย โดยโครงการจะเข้าไปลงทุนด้านระบบ ด้านรูปลักษณ์หลักๆ ให้
พิเศษไปกว่านั้น เจ้าของร้านยังจะได้รับบริการราวกับคนในครอบครัวจากเหล่าทีมงาน BJC ซึ่งเป็นพนักงาน Big C ที่อยู่ในท้องถิ่น ซึ่งจะเข้าถึงได้ง่าย พร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ โดยในงานแถลงข่าวครั้งนี้ก็มีกลุ่มเจ้าของร้านโดนใจจากทุกภูมิภาคมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์หลังจากร่วมงานกับทีมงาน BJC มากว่า 1 ปี โดยทุกเสียงต่างยืนยันว่าบริการจากทีมงานตั้งแต่คณะบริหารไปจนถึงพนักงานที่นำสินค้ามาส่งคือกุญแจสำคัญที่ทำให้เชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม เพราะมันคือการดำเนินงานที่เข้ามาเพื่อช่วยพัฒนา และเป็นการเข้ามาช่วยอย่างเข้าใจ ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่ “โดนใจ” เจ้าของร้านอย่างแท้จริง
สมัครง่าย พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกขั้นตอน
แม้โชห่วยจะเป็นฟันเฟืองขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าด้วยจำนวนที่มหาศาลถึง 400,000 กว่าร้านค้าทั่วประเทศ ทำให้โชห่วยเป็นฟันเฟืองที่สำคัญไม่น้อยในการทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมเดินหน้าต่อไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการที่โชห่วยได้รับการยกระดับสิ่งที่ตามมาพร้อมกันคือการเติบโตของ SME รายย่อย ไปจนถึงผู้ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ สถาบันการเงิน ที่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนกันและกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าแพลตฟอร์มร้านโดนใจ เป็นตัวกลางที่สำคัญยิ่งซึ่งช่วยเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวคือการเติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุล
ปัจจุบันร้านโดนใจมีจำนวนแล้วกว่า 1,200 ร้านค้า โดยคุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ได้กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะขยับจำนวนให้ถึง 8,000 ร้านค้า โดยจะมีการลงพื้นที่มากขึ้นผ่านโครงการโดนใจออนทัวร์ เพื่อสร้างการรับรู้และเสริมองค์ความรู้ให้กับร้านโชห่วยในพื้นที่ต่างๆ พร้อมมุ่งสู่เป้าหมาย 30,000 ร้านค้า ภายในปี 2570 และขยายไปสู่ระดับภูมิภาค เช่น ในประเทศเวียดนามที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว
“เราเชื่อมั่นว่าร้านโดนใจจะเป็นส่วนเติมเต็มที่สำคัญให้กับการพัฒนาร้านโชห่วยในประเทศไทยให้สามารถเติบโตและขานรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย มากไปกว่านั้นการมีระบบบริหารจัดการที่ดีจะทำให้ร้านค้ารวมไปถึงผู้ประกอบการและลูกค้ามีความสะดวกสบาย ที่สำคัญจะทำให้ระบบนิเวศทางธุรกิจนับตั้งแต่ผู้ประกอบการ คู่ค้า และซัพพลายเออร์เจ้าของสินค้าที่เข้ามาร่วมอยู่ในอีโคซิสเท็มของโดนใจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และสอดรับกับวิสัยทัศน์บีเจซีที่พร้อมเป็นผู้นำในตลาดโลกด้วยสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” คุณฐาปณี กล่าวสรุป
สำหรับผู้สนใจร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวร้านโดนใจ สามารถติดต่อได้ที่ บิ๊กซี และ มินิ บิ๊กซีทุกสาขา หรือสมัครได้เลยที่เว็บไซต์ https://donjai.in.th/ ทีมงานมืออาชีพจาก BJC พร้อมให้คำแนะนำอย่างครบวงจร เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของโชห่วยทั่วไทย