ในโลกที่ความเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนไปในรายวินาที
“โอกาส” และ “ความเสี่ยง” ล้วนเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองสิ่งนี้ผู้คนในแวดวงธุรกิจล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี และต่างก็มีวิธีการบริหารจัดการการลงทุนในหลากหลายวิธีต่างกันไป
หนึ่งในบริษัทที่น่าสนใจและเราอยากชวนคุณไปเปิดเผยแนวคิดเบื้องหลัง กับ 2 ผู้บริหาร หรรสา สุสายัณห์ ประธานกรรมการ บริษัท ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส จำกัด (DTP) และ ฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานผู้อำนวยการ DTP หนึ่งในบริษัทลูกของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO)
ทั้งสองจะมาพูดคุยเจาะลึกถึงแนวคิดการลงทุน ที่พร้อมขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม สังคม และธุรกิจไปพร้อมกัน
หรรสา สุสายัณห์
ประธานกรรมการ บริษัท ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส จำกัด (DTP)
“ถ้าอธิบายให้เห็นภาพ บริษัท ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส จำกัด (DTP) ก็คือ Investment arm ในขณะที่ MQDC เป็น Developer arm ความแตกต่างก็คือ DTP จะเน้นการลงทุนในธุรกิจ Brown field ที่เราจะไปมองหาธุรกิจที่สร้างเสร็จแล้ว มีรายได้เกิดขึ้นแล้วอย่างต่อเนื่อง จนเราเห็นความมั่นใจ ว่าผลประกอบการของธุรกิจมีความน่าสนใจ ที่เราควรจะเข้าไปลงทุน
“ส่วน MQDC จะเริ่มตั้งแต่การซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการขึ้นมา ซึ่งเป็นธุรกิจแบบ Green field ซึ่งทั้งสองบริษัทอยู่ภายใต้ DTGO”
หรรสา สุสายัณห์ ประธานกรรมการ บริษัท ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส จำกัด (DTP) เริ่มต้นอธิบายความแตกต่างของบริษัทให้เราฟัง
เมื่อลงลึกถึงแนวทางการลงทุนของบริษัท ฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานผู้อำนวยการ DTP อธิบายว่าแบ่งออกเป็น 4 แบบด้วยกัน
“แบบแรกคือ Global Investment ที่เราเน้นการลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพจากทั่วโลก ยกตัวอย่างในปี 2019 ก่อนหน้าโควิด-19 เพียงไม่นาน เราได้ลงทุนกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเชนภายใต้เครือโรงแรมชั้นนำ เช่น Hilton, IHG และ Marriott ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าเติบโตมากกว่าวันที่ลงทุนไปแล้ว”
ความสำเร็จของการลงทุนโรงแรมในอังกฤษยังเกี่ยวเนื่องกับ แนวคิดการบริหารการลงทุนแบบที่สองคือ Assets Management ที่เป็นการบริหารสินทรัพย์และสร้างมูลค่าเพิ่ม มีผลให้ในช่วง 2 ปีที่เผชิญสถานการณ์โควิด-19 โรงแรมของเราไม่มีการปลดพนักงานกว่า 1,200 ชีวิตออกเลย ทำให้เมื่อมีการเปิดประเทศ โรงแรมในเครือจึงพร้อมเปิดบริการและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน มีแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อลดการสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
เป็นการใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้าแทนน้ำมันเข้ามาใช้ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยล็อกราคาพลังงานล่วงหน้าก่อนเกิดสงคราม พร้อมทั้งมีแผนที่จะลงทุนติดตั้ง “โซลาร์พาแนล” บนหลังคาโรงแรมอีกด้วย
“แบบที่สามเราเรียกว่า Funds Management การบริหารจัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดได้ตั้งกองทรัสต์ DTPHREIT มูลค่าโครงการ 4,107 ล้านบาท หลังจากปิดขายเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางกองทรัสต์ได้เข้าลงทุนในทรัพย์สินประเภทโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในทำเลศักยภาพสูงของ MQDC ได้แก่ การลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าสังหาริมทรัพย์โครงการโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ, เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และงานระบบต่างๆ ในโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) และลงทุนในกรรมสิทธิ์โครงการโรงแรมยู เขาใหญ่ ซึ่งเป็นกองทรัสต์ประเภท REIT buy-back ที่มีข้อตกลงให้เจ้าของเดิมรับซื้อทรัพย์สินคืนในวันสิ้นสุดการลงทุน
ฐิติ ทองเบญจมาศ
ประธานผู้อำนวยการ บริษัท ดีทีจีโอ พรอสเพอร์รัส จำกัด (DTP)
ในแบบที่ 4 ที่บริษัทเลือกลงทุนคือ VC & Innovative Investment ซึ่งทั้งสองผู้บริหารให้ความเห็นว่าในวันที่โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คงไม่สามารถอยู่กับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวได้ บริษัทจึงมองหาโอกาสและพันธมิตรมาร่วมลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น REDDS Technology Fund การลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมชะลอวัย (Reverse Aging) รวมไปถึง MIND AI ระบบแชตบอต
โดย คุณหรรสา ยังเสริมว่านี่เป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อรองรับแนวโน้มของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป (Long-Term Investment) อีกทั้งยังตอบโจทย์ For All Well-Being ที่เป็นแกนหลักของ MQDC อีกด้วย
“จะสังเกตว่าสิ่งที่เราเลือกลงทุน ล้วนตอบโจทย์เรื่องความเป็นอยู่ และการทำให้สิ่งแวดล้อม ทำให้สังคมของเราดีขึ้น ช่วยให้ คนสุขภาพดีแข็งแรงมากขึ้น ได้รับความสะดวกและความปลอดภัย”
นั่นรวมถึงแนวคิดที่ออกมาเป็นนโยบายของ DTGO นั่นคือการจัดสรรงบ 2% ของรายได้ของทุกบริษัทในเครือ นำมาใช้ในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมมาตลอด ตัวอย่างเช่นมูลนิธิพุทธรักษา ที่ DTGO สนับสนุน ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ได้มอบทุนการศึกษาให้เด็กที่ขาดโอกาสไปแล้วกว่าหมื่นคน
คุณฐิติ ย้ำต่อว่าในอนาคต บริษัทจะยังให้ความสำคัญกับการลงทุนทั้ง 4 แบบในสัดส่วนที่ใกล้กัน โดยในช่วง 2 ปีที่จะถึง จะเน้นการมองหาโอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกา เอเชีย รวมถึงตะวันออกกลาง
“เราให้ความสำคัญใน 3 ด้านหลักๆ ในการลงทุน คือ หนึ่ง Business Synergy เราต้องแน่ใจว่าธุรกิจที่เราลงทุน ต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดทางธุรกิจ หรือเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทแม่ DTGO ของเราได้
“สอง Monetization เน้นการลงทุนในทรัพย์สินที่สามารถพัฒนาให้เติบโต และสามารถขายเพื่อเพิ่มรายได้ หรือสามารถนำไประดมทุนผ่านกองทุนฯ หรือเครื่องมือการเงินต่างๆ ได้ เพื่อนำเงินกลับมา สร้างโอกาสในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเน้นอย่างการ Re-Investment Opportunity”
ในหลักที่สาม คุณหรรสา เสริมต่อว่าคือเรื่อง Risk Diversification เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ทั้งในแง่ของประเภทของทรัพย์สินและพื้นที่ที่ ตั้งในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีซึ่งจะกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
“เราจะเป็น global investment company ที่ลงทุนเพื่อให้มีรายได้มาช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม เน้นการบริหารธุรกิจแบบ Asset Light ลดการถือครองสินทรัพย์โดยหาพันธมิตรที่มีความสนใจในเรื่องสังคมและสิ่งแวด ล้อม เข้ามาเป็นผู้ร่วมลงทุน เพื่อให้เราสามารถบริหารธุรกิจแบบตัวเบา เน้นการเข้าไปช่วยสนับสนุนด้านการบริหาร การช่วยเหลือสังคมในทุกๆ ที่ที่เราเข้าไปลงทุนตามพันธกิจของกลุ่ม DGTO นั่นเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นด้วย”