สมาคมผู้ค้าปลีกไทย พร้อมตรึงราคาสินค้าช่วยเหลือประชาชน เสนอ 3 มาตรการร่วมกับภาครัฐช่วยแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แนะรัฐนำช้อปดีมีคืนกลับมาใช้อีก
เมื่อวันที่ 1 มี.ค.65 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ไทยกำลังประสบปัญหาที่เกิดจากราคาพลังงานและอาหารสดที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนทุกคน และทุกระดับ
โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยที่เจอผลกระทบ 2 เด้ง ทั้งในเรื่องของค่าครองชีพสูงขึ้น และรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด-19 การตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างตรงจุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2564 สมาคมฯ และภาคีเครือข่าย ได้พยายามช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนในด้านต่างๆ อาทิ การจัดสรรสินค้าคุณภาพดีให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง และทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิดในการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
รวมถึงสมาชิกและภาคีเครือข่ายของสมาคมฯ ยังคงรักษาอัตราการจ้างงานที่มีจำนวนกว่า 1.1 ล้านอัตราให้คงเดิม ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุดของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย คณะกรรมการฯ ยังคงยืนยันที่จะพยายามตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ต้องประเมินเป็นรายไตรมาส โดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารสด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของปัญหาค่าครองชีพของประชาชนในขณะนี้
ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ยังเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่สามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะโครงการ คนละครึ่ง ที่ภาครัฐเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ช่วยจูงใจให้คนไทยออกมาจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น ถือเป็นประโยชน์โดยตรงต่อเศรษฐกิจภาพรวม
นอกจากนี้ อีกโครงการหนึ่งที่มาได้ทันเวลาคือ ช้อปดีมีคืน ที่เป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจากผู้ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ เป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด ในระยะเวลาอันสั้น และใช้งบประมาณน้อยที่สุด แม้ว่าในช่วงเวลาที่เริ่มต้นโครงการ ช้อปดีมีคืนนั้น เป็นช่วงของการแพร่ระบาดของโอมิครอน ทำให้มู้ดในการจับจ่ายใช้สอยไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่ายอดขายเติบโตได้ขนาดนี้ก็เป็นที่น่าพอใจ
โดยทั้ง 2 โครงการนี้ ถือเป็นการนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ไทยสามารถดำรงสภาพคล่องและคงการจ้างงานไว้ได้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงขอนำเสนอมาตรการเพื่อที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจในภาวะที่ค่าครองชีพสูงและเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ดังนี้
- มาตรการในส่วนของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และซัพพลายเออร์ในภาคีเครือข่าย
1. ตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ซึ่งสมาคมฯ และซัพพลายเออร์ในภาคีเครือข่ายยืนยันที่จะตรึงราคาสินค้าฯ จนถึงจบไตรมาสที่หนึ่งของปี 2565 ทั้งนี้ นโยบายการตรึงราคาจะมีการประเมินเป็นรายไตรมาส
2. เตรียมสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้กับประชาชน สมาคมฯ ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
3. ช่วยฟื้นฟู SMEs ไทย สมาคมฯ และภาคีเครือข่ายจะเร่งขยายในเรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุน ให้ SMEs ไทยผ่านโครงการ Digital Supplychain Finance ของธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย
รวมทั้งการขยายและเพิ่มช่องทางการขายให้กับ SMEs เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังคงยืนยันที่จะพยุงการจ้างงานในระบบค้าปลีกให้อยู่ที่ 1.1 ล้านอัตรา
- มาตรการในส่วนของภาครัฐ
1. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่มีวงเงินงบประมาณถึง 3.1 ล้านล้านบาท ให้มีการอนุมัติและดำเนินการเพื่อให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
2. การพยุงราคาพลังงานให้คงที่ โดยการใช้ทุกมาตรการเพื่อพยุงราคาพลังงานให้นานที่สุด ถึงแม้รัฐบาลได้มีมาตรการพยุงราคาน้ำมัน ปรับลดภาษีอัตราน้ำมันดีเซลสรรพสามิต และน้ำมันอื่นๆ 3 บาท ต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว อาจจะยังไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณามาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง ซึ่งค่าขนส่งถือว่ามีสัดส่วนถึง 8-10% ของต้นทุนสินค้า
3. กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน โดยคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง และ โครงการช้อปดีมีคืน ที่ภาครัฐดำเนินการได้ดีอยู่แล้วในการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบจากผู้ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่
ทั้งนี้ ขอให้ภาครัฐพิจารณาโครงการช้อปดีมีคืนเฟสสองเพิ่มเติม และให้ยืดทั้งระยะเวลาโครงการ รวมถึงวงเงินที่สามารถใช้จ่าย โดยเพิ่มจาก 30,000 บาท เป็น 100,000 บาท ทั้ง 2 โครงการจะเป็นการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (Local Consumption) ถือเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ไทย ให้สามารถประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ต่อไป
นายญนน์ กล่าวอีกว่า สมาคมฯ และภาคีเครือข่าย ขอยืนยันที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อช่วยเหลือ และลดภาระค่าครองชีพของประชาชนซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างเร็วที่สุด สมาคมฯ พร้อมที่จะเร่งผลักดันและใช้ทุกสรรพกำลังของภาคีเครือข่ายในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่
เพราะเรื่องนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง การร่วมแรงร่วมใจกันครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงัก และประเทศไทยของเราจะได้กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม