นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดกรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด บริษัทแม่ของบริษัทอัครา รีซอร์สเซส แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียว่า รัฐบาลไทยได้อนุมัติประทานบัตรเหมืองแร่ 4 แปลงให้กับบริษัท เพื่อให้กลับมาเปิดเหมืองแร่ในไทย รวมทั้งเหมืองแร่ชาตรีที่ยุติการดำเนินงานไปตั้งแต่ปี 2560 โดยเตรียมกลับมาดำเนินการในพื้นที่เดิม ส่วนนี้เป็นเรื่องของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงสามารถทำได้ตามขั้นตอนและอำนาจที่มีอยู่ โดยได้มีการรายงานให้คณะรัฐมนตรี ทราบทุกๆ 3 เดือน หากบริษัท คิงส์เกตกลับมาทำเหมืองแร่ในที่เดิม คดีข้อพิพาทที่อยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท คิงส์เกต จะยุติหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่ตาม พ.ร.บ.เหมืองแร่ฉบับใหม่ มีข้อกำหนดว่ากรณีที่ผู้ประกอบการทำไม่ถูก ก็ให้มาทำใหม่ให้ถูกต้องแล้วทำต่อไปได้ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าวันที่ 31 ม.ค.นี้ จะมีการตัดสินของอนุญาโตตุลาการหรือไม่
“ที่ผ่านมารัฐบาล คสช.ไม่ได้ไปยกเลิก ไม่ได้ไปยึด เพียงแต่ให้หยุดไว้ก่อน และไม่ต่ออายุให้คือให้สิ้นสุด ณ ปีนั้น เพราะตอนนั้นกฎหมายแร่ฉบับใหม่ยังไม่ออก เมื่อกฎหมายออกมาแล้วก็ให้มาขออนุญาตได้เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้ แต่ได้ทำอย่างถูกต้องหรือยัง ผมไม่รู้ เพราะเป็นขั้นตอนที่อยู่ที่หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล ต้องไปดูแล้วรายงานขึ้นมาตามวงรอบ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ 30 คน นำโดยนางวันเพ็ญ พรหมรังสรรค์ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง คัดค้านการอนุญาตประทานบัตรให้กับบริษัทอัครา และขอให้เร่งรีบถอดถอน รมว.อุตสาหกรรม และ รมว.ยุติธรรม เนื่องจากมีพฤติการณ์ เกียร์ว่าง ละเว้น ไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ และมีพฤติการณ์อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทอัครา หรือคิงส์เกต
น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า การที่รัฐบาลยอมให้ บริษัท อัครากลับมาดำเนินการเท่ากับเป็นการก้มหน้ายอมรับว่าการใช้มาตรา 44 ปิดเหมืองแร่ทองคำเป็นการกระทำผิดต่อคิงส์เกต แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังจะแพ้คดีจึงยอมกลืนน้ำลายตัวเอง เพื่อให้มีการถอนฟ้อง.