ตลอดปีกว่าของการระบาด “โควิด-19” ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจในทุกประเทศ หลากหลายธุรกิจต้องเซถลาจนถึงปิดกิจการ เพราะกำลังซื้อหดวูบและมาตรการเข้มข้นของทางการที่ออกมา
สำหรับประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบนี้ หลายธุรกิจต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอดและรองรับกับวิถีชีวิตใหม่ “นิว นอร์มอล” (New Normal)
ต่อไปนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้ประกอบธุรกิจที่ยังคงฮึดสู้ พร้อมปรับเกมรุกรบรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพราะเห็นว่าขืนมัวนิ่งเฉยก็มีแต่จะพังพาบ!!
“วิทิต ลีนุตพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทไทยยานยนตร์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย รถยนต์ “โฟล์คสวาเกน คาราเวล” อย่างเป็นทางการแต่ผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจต้องมองโลกในแง่บวก ต้องคำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก เอาหัวใจ ของลูกค้ามาเป็นที่ตั้ง
ขณะเดียวกันก็ต้องยึดหลักการบริหาร “ให้พนักงานทำงานแบบมืออาชีพ ขณะที่องค์กรก็ต้องดูแลพนักงานดุจสมาชิกในครอบครัว”
“ที่สำคัญต้องทำความเข้าใจกับทุกวิกฤติที่เกิดขึ้น อย่างโรคโควิด-19 ต้องเข้าใจว่าภาวะการระบาดของโรคนี้จะไม่หายไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้มีวัคซีนป้องกันโรคนี้แล้วก็ตาม ดังนั้น ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว ขณะเดียวกันก็ต้องมองถึงอนาคตด้วย เราจึงไม่ได้ปรับตัวแค่นิวนอร์มอล แต่ต้องรับกับโลกยุคใหม่ หรือ “เน็กซ์ นอร์มอล” (Next Normal)”
ที่ไทยยานยนตร์จึงมีการระดมสมองกันอยู่บ่อยๆ พร้อมย้ำกับพนักงานเสมอว่าในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส อย่างช่วงโรคโควิด-19 ขณะนี้ ได้เปิดโอกาสให้พนักงานฉายแสงให้องค์กรได้เห็นว่ามีศักยภาพมากน้อยเพียงไร
“เราได้ไอเดียใหม่ๆอยู่เรื่อยจากพนักงานในการนำเสนอสิ่งดีๆให้กับลูกค้าและองค์กร”
ที่สำคัญ ยังทำให้เรากล้าตัดสินใจและกล้าลงทุนในหลายๆเรื่อง เช่น การปรับองค์กรให้ “ลีน” (Lean) หรือ “ลดไขมันส่วนเกิน” ทำให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่างๆที่ไม่จำเป็นก็ปรับลดลง พร้อมกันนั้นก็ได้ทุ่มเทในเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจมากขึ้น
อย่างเช่น การสร้าง “แอปพลิเคชัน” สำหรับการติดต่อกับลูกค้าโดยตรง อันนี้เป็นไอเดียที่เกิดจากการระดมสมอง ซึ่งแอปฯนี้ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างลูกค้ากับบริษัทไทยยานยนตร์
ขณะเดียวกัน ยังมีการสำรวจข้อมูลความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าซึ่งเป็นบุคคลระดับผู้นำ เจ้าของธุรกิจ และผู้บริหารระดับสูง
จากการสำรวจพบว่าในสถานการณ์โควิด-19 ได้ส่งผลให้แนวโน้มและรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง และทำให้การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ไทยยานยนตร์จึงได้พัฒนารถโฟล์คสวาเกน คาราเวล รุ่นพิเศษ “ไทยยานยนตร์ คาราเวล ที 6 ทัวริ่ง” ซึ่งแตกต่างจากรุ่น “ไทยยานยนตร์ คาราเวล” ที่มีในปัจจุบัน ตรงที่ภายในห้องโดยสารจะไม่มี “กระจกกั้นกลาง” ระหว่างส่วนของผู้ขับขี่และห้องโดยสาร เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้ลูกค้าที่ใช้งานแบบครอบครัวและอาจขับรถด้วยตัวเอง
ตอบโจทย์การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศพร้อมกันทั้งครอบครัวใหญ่ และเทรนด์การท่องเที่ยวในกลุ่มเพื่อน ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้านสุขอนามัยตลอดการเดินทาง ด้วยการติดตั้ง “Thaiyarnyon Premium AP” นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศบนรถยนต์ระดับ Hospital Grade ซึ่งจะถูกติดตั้งบิวท์อินมาภายในรถ
ขณะที่รถโฟล์คสวาเกน คาราเวล “ไทยยานยนตร์ คาราเวล” ซึ่งจำหนายในปัจจุบัน ที่มี “กระจกกั้นกลาง” ระหว่างส่วนของผู้ขับขี่และห้องโดยสาร ยังเป็นระบบแอร์แยกส่วน ทำให้ลูกค้าวีไอพีมั่นใจตลอดการเดินทาง
“รถโฟล์คสวาเกน คาราเวล เหล่านี้ เราไม่ได้มองแค่การจำหน่ายในประเทศ แต่ยังมองถึงการส่งออก เพราะเชื่อว่าโรคโควิด-19 ยังอยู่อีกนาน ตลาดส่งออกช่วงแรกคือประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ จากนั้นจะขยายการส่งออกไปยังจีนและไต้หวันต่อไป”
ด้านธุรกิจโรงแรม “ศุกลกานต์ ธรรมชวนวิริยะ” กรรมการบริหาร โรงแรมโรยัล สวีท แบงค็อก (Royal Suite Hotel Bangkok) ตั้งอยู่ที่ซอยเพชรพระราม ถนนพระราม 9 กทม. ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว กล่าวว่า เราก็เหมือนกับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมทั้งหลายที่แทบจะล้มทั้งยืนกับการมาของโรคระบาด “โควิด-19”
เพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือชาวต่างชาติ โดยมากจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ ดังนั้น พอโควิด-19 มา รัฐบาลเริ่มออกมาตรการเข้มข้น ถึงขั้นล็อกดาวน์ ทำให้ลูกค้าทัวร์ต่างชาติหายหมด
แต่เพื่อให้ธุรกิจยังพอประคองตัวอยู่รอดได้ ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้บรรดาพนักงานอยู่รอดได้เช่นกัน เพราะพนักงานอยู่กับเรามานาน มีความรู้สึกเหมือนคนในครอบครัว จึงได้มองว่าเราต้องปรับรูปแบบธุรกิจโรงแรมให้รองรับกับยุคโควิด-19 เพราะเห็นว่าโรคนี้จะอยู่กับเราอีกพักใหญ่
โดยในช่วงยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด บรรดาคนต่างชาติหรือคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศเมื่อเข้าไทยจะต้องมีการกักตัวนานถึง 14 วัน เชื่อว่าต่อไปทางการจะต้องมีนโยบายให้เอกชนมาทำ “สถานที่กักตัว” เพราะสถานที่กักตัวที่รัฐจัดหาให้ไม่น่าจะเพียงพอ
ที่สำคัญยังมีนักธุรกิจหรือชาวต่างชาติ รวมทั้งคนไทยบางส่วนที่พอจะมีกำลังซื้อ ซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศเข้าไทย น่าจะนิยมมาพักที่โรงแรมซึ่งทำเพื่อการนี้
จึงได้ปรับปรุงห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งการจัดทำทุกอย่างทุกพื้นที่ให้มีความปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้
พอทางการมีนโยบายให้เอกชนทำ ASQ (Alternative State Quarantine) หรือ “สถานที่กักตัวทางเลือก” เพื่อรองรับคนที่จะเดินทางมาจากต่างประเทศและป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำของโควิด-19 ทำให้ผู้ที่กักตัวมั่นใจได้ว่าจะได้รับความปลอดภัยและความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นพร้อมกำหนดข้อระเบียบปฏิบัติต่างๆ
ทางโรงแรมโรยัล สวีท แบงค็อก ก็สามารถปรับตัวรับข้อกำหนดต่างๆของทางการได้ จึงนับเป็นหนึ่งในโรงแรมช่วงแรกๆที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลในการทำ ASQ ด้วยมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
มีจุดเด่นที่เป็นแอร์แยก มีห้องหลายขนาด เริ่มตั้งแต่ดีลักซ์ ขนาด 45 ตร.ม., ทั้งยังมีห้องสวีท 1-3 ห้องนอน หรือขนาดใหญ่สุด 136 ตร.ม. ทุกห้องมีระเบียงส่วนตัว ห้องครัว สมาร์ททีวี อินเตอร์เน็ต บริการซัก-รีด รวมถึงมีบริการรับจากสนามบินโดย ซิกท์ (SIXT) ลิมูซีน และยังมีอาหารนานาชาติ 3 มื้อต่อวัน
ทั้งยังได้จับมือกับโรงพยาบาลกรุงเทพในบริการตรวจคัดกรอง โควิด-19 โดยมีพยาบาลเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง บริการตรวจสุขภาพประจำวัน
ASQ ของโรงแรมโรยัล สวีท แบงค็อก จึงมีลูกค้ากลับมาใช้บริการอยู่เรื่อยๆเมื่อกลับมาประเทศไทย
ขณะเดียวกัน โรงแรมโรยัล สวีท แบงค็อก ยังมีอีกธุรกิจที่สลบเหมือดเช่นกันเมื่อโควิด-19 มา นั่นคือ “ฟูซิโอ แคทเทอริ่ง” (FUZiO Catering) อันเป็นธุรกิจบริการรับจัดทำอาหารในงานเลี้ยงต่างๆ
โดยถ้าเป็นช่วงปกติก่อนโควิดจะมา ถือเป็นธุรกิจที่ดี มีงานเข้ามาต่อเนื่อง แต่ในสถานการณ์โควิด ธุรกิจนี้ก็พลอยอับเฉา เพราะช่วงแรกๆทางการมีมาตรการเข้มข้น ห้ามจัดงานเลี้ยงต่างๆ แม้ว่าช่วงหลังจะผ่อนคลาย แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้ลูกค้าต้องประหยัดงบ ส่งผลกระทบต่อฟูซิโอ แคทเทอริ่ง
“แต่เพื่อให้องค์กรยังอยู่รอด และหวังว่าธุรกิจแคทเทอริ่งนี้ยังพอจะเป็นอีกหนึ่งในช่องทางในการเพิ่มรายได้ และที่สำคัญยังเพื่อให้พนักงานอยู่รอดไปด้วยกันได้ จึงได้ปรับรูปแบบแคทเทอริ่งใหม่ ให้มีราคาย่อมเยาลง พร้อมปรับเมนูเป็นอาหารไทย และอาศัยช่องทางโซเชียลออนไลน์ให้เป็นประโยชน์”
จึงได้ตั้งแบรนด์ใหม่ขึ้นมาคือ “กระวาน บาย ฟูซิโอ” (Kra-wan by Fuzio) รับบริการจัดเลี้ยงในราคาถูกกว่า “ฟูซิโอ แคทเทอริ่ง” แต่ยังคงการันตีความอร่อยด้วยมาตรฐานของฟูซิโอ พร้อมเพิ่มเมนูอาหารไทยมากขึ้น
ทั้งยังได้ทำเมนูพิเศษอีกหลากหลายออกวางขายผ่านช่องทางโซเชียลทางไลน์ของฟูซิโอ ขณะเดียวกัน ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น น้ำยำ Kra-wan, ซี่โครงหมูอบพร้อมทาน, ชุดสปาเกตตีกับหลากซอส สามารถทำทานที่บ้าน
ทั้งยังรับบริการจัดทำ “ข้าวกล่อง” สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่ต้องการบริจาคให้กับวัด หน่วยงาน บุคลากรทางการแพทย์ หรือชุมชนต่างๆในราคาย่อมเยาเริ่มต้นที่ 50 บาท พร้อมจัดส่งให้ด้วย ปรากฏว่ามีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ จนเคยมีผู้สั่งทำทีเดียวถึง 1,000 ชุด
“นี่เป็นการตอกย้ำว่าในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส ขอเพียงแต่เราอย่ายอมแพ้”
“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ตื่นตัวในการปรับตัวรับกับสถานการณ์โควิด-19 กล่าวว่า แสนสิริให้ความสำคัญกับ “ลูกค้า” มาเป็นลำดับแรก เราจึงต้องใส่ใจให้ลูกค้ามีความปลอดภัยและอุ่นใจในทุกครั้ง ที่มาเยือน
จึงให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลความสะอาด สร้างความปลอดภัย และอุ่นใจแบบเต็มขั้นให้กับลูกค้าและครอบครัวแสนสิริ โดยดูแลและเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินสถานการณ์และวางแผนรับมือที่เหมาะสมตลอดมา
คุมเข้มด้วยนโยบาย “Sansiri Care...เพราะเราห่วงใย” กับ 3 มาตรการ “ป้องกัน ดูแล และรับมือ” เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความสะอาดและปลอดภัยสูงสุดให้กับลูกบ้านในโครงการที่อยู่อาศัย และลูกค้าที่สนใจโครงการแสนสิริ
ล่าสุด เพื่อยกระดับเพิ่มการดูแลความปลอดภัยและความอุ่นใจสูงสุด แสนสิริยังเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายแรกในไทยที่ติดตั้งนวัตกรรมเครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศ “UV Care 254 Airflow” เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคในอากาศ เชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19
โดยขณะนี้ได้ติดตั้งไว้ที่เซลส์ แกลอรี หรือสำนักงานขายโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมของแสนสิริ จำนวน 52 โครงการแล้ว พร้อมเตรียมต่อยอดการใช้งานในสำนักงานขายโครงการคอนโดมิเนียมอีกด้วย
ขณะที่เซลส์ แกลอรี โครงการคอนโดมิเนียมในขณะนี้ ยังได้เพิ่มมาตรการปลอดภัยสูงสุดเทียบเท่าโรงพยาบาล ด้วยเครื่องฟอกอากาศ M-One ที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางระบบหายใจด้วยรังสี UVC นอกจากนี้ ยังช่วยกรองฝุ่นละออง และ PM 2.5 ได้ถึง 99.995% เริ่มใช้งานที่ XT ห้วยขวาง ไลฟ์สไตล์คอนโดฯ แห่งแรกในไทย และโอกะ เฮาส์
เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ทุกครั้งที่เข้าชมโครงการและสำนักงานขายโครงการของแสนสิริ
นอกจากนี้ ยังยกระดับมาตรการทำความสะอาดและความปลอดภัยแบบเต็มขั้นสูงสุด สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยและเซลส์ แกลอรี เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการ มีการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางทุก 1-2 ชั่วโมง ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและอบโอโซนในโครงการตลอดจนป้อม รปภ. ห้องพักแม่บ้าน และบ้านตัวอย่าง พื้นที่ส่วนกลาง สำนักงานนิติ สำนักงานช่าง
ขณะที่โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบและโอนแก่ลูกค้าจะทำความสะอาดภายในห้องและตัวบ้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง อบโอโซนฆ่าเชื้อก่อนการตรวจรับมอบที่อยู่อาศัย พร้อมติดป้าย “รับรองผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อย”
ด้วยมาตรการเข้มนี้ทำให้ทุกโครงการของแสนสิริยังสามารถเปิดให้เยี่ยมชมตามปกติได้อย่างอุ่นใจ หรือสามารถนัดหมายเยี่ยมชมโครงการแบบเฉพาะครอบครัว ทั้งยังให้เยี่ยมชมโครงการเสมือนจริงแบบ Sansiri Virtual Sales Gallery บนเว็บและไลน์ของแสนสิริฯ
ขณะที่ในพื้นที่ส่วนกลางคอนโดมิเนียมยังได้ออกแบบเป็น “Touchless” ลดการสัมผัส เพิ่มความปลอดภัยของลูกบ้าน ทุกอย่างจะเป็นออโตเมติก มีระบบเซ็นเซอร์ เช่น ประตู ลิฟต์ หรือแม้แต่ในห้องน้ำที่บริเวณพื้นที่ส่วนกลาง
พร้อมกันนี้ยังได้สร้างแอป Home Service Application ให้ลูกบ้านโหลด เพื่อลดการสัมผัสระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ให้น้อยที่สุด
นี่เป็นวิถีธุรกิจใหม่วงการอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ!!!
ทีมเศรษฐกิจ