MyCloudFulfillment แนะร้านค้าออนไลน์อยู่อย่างไรให้รอดในโลก E-Commerce

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

MyCloudFulfillment แนะร้านค้าออนไลน์อยู่อย่างไรให้รอดในโลก E-Commerce

Date Time: 8 ต.ค. 2563 20:38 น.

Video

โมเดลธุรกิจ Onlyfans ทำไมถึงมีแต่ได้กับได้ ? บริษัทมั่งคั่ง คนทำก็รวย | Digital Frontiers

Summary

  • MyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร แนะร้านค้าออนไลน์อยู่อย่างไรให้รอดในโลก E-Commerce ล่าสุดรับเงินลงทุน 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายธุรกิจรับการเติบโต

Latest


MyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร แนะร้านค้าออนไลน์อยู่อย่างไรให้รอดในโลก E-Commerce ล่าสุดรับเงินลงทุน 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายธุรกิจรับการเติบโต

นิธิ สัจจทิพวรรณ กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง MyCloudFulfillment บริษัท อี-เอ็มพาวเวอร์เมนท์ จำกัด ซึ่งเป็น Tech Startup ด้าน Warehouse & Logistics กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรือ E-Commerce ทั่วโลกมีการเติบโตต่อเนื่อง

โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ปี 2563 มูลค่าตลาดทั่วโลกจะอยู่ที่ 75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2562 มีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 3,468 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.6% จากปี 2562 เช่นกัน โดยตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียมูลค่าอยู่ที่ 45 ล้านล้านบาท เติบโต 29% จากจำนวนผู้ใช้ถึง 2,133 ล้านคน คิดเป็น 61.5% ของผู้ใช้ทั่วโลก สะท้อนขนาดตลาดที่ใหญ่สุดในโลก

หากมองเจาะลึกลงไปในภูมิภาคเอเชีย ยังพบว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มูลค่าอีคอมเมิร์ซเติบโตสูงสุดถึง 44% ซึ่งมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท โตขึ้นมาถึง 42% จากปีที่ 62


สำหรับตลาดที่มีกำลังซื้อ และคนมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงอันดับหนึ่ง ได้แก่ 1. อินโดนีเซีย มีอัตราการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซต่อผู้ใช้ต่อปีที่ 219 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 6,856 บาทต่อคนต่อปี และที่รองลงมาก็ คือ ไทย 215.67 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 6,752 บาทต่อคนต่อปี

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ต่ำกว่าอินโดนีเซียอยู่มาก นั่นหมายความว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็นตลาดที่คนมีกำลังซื้อ และยังขยายได้อีกมากในอนาคต เนื่องจากคนไทยยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตต่ำกว่า จึงสะท้อนว่าโอกาสทางการตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังมีอีกมหาศาล

ส่วนธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โควิด-19 จนถึงตอนนี้ และ จะเติบโตต่อไปอีกในอนาคต คือ อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มที่ผ่านการบรรจุภัณฑ์, อุปกรณ์ที่ใช้ภายในบ้าน และผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

ขณะที่ธุรกิจที่น่าจับตามองคือ ความงามเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย, และธุรกิจกลุ่มสุขภาพและอาหารเสริม เนื่องจากมีการเติบโตที่น่าสนใจช่วงโควิด ถึงจะลดลงนิดหน่อยจากการกลับมาของหน้าร้าน แต่จะกลับมาเติบโตได้ดีบนออนไลน์อีกครั้งในอนาคต ส่วนอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ธุรกิจแฟชั่น ที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของการท่องเที่ยว

"ในส่วนของ MyCloudFulfillment นั้นมี Stock Keeping Unit หรือ SKU ในระบบมากกว่า 100,000 SKUs, มียอดออเดอร์สูงสุดต่อวันถึง 50,000 ออเดอร์ ซึ่งออเดอร์เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 6 เท่า ซึ่งครึ่งปี 63 ปีที่ผ่านมามีมูลค่าซื้อขายสินค้าผ่านคลังเรามากกว่า 500 ล้านบาท"


เตือน 3 สิ่งควรระวังเพื่อให้ร้านค้าอยู่รอดในโลกอีคอมเมิร์ซแห่งอนาคต

นิธิ มองว่า แม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะมีการขยายตัว และเป็นขุมทรัพย์ตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ก่อนจะบุกทำตลาดผู้ประกอบการต้องเข้าใจทิศทางตลาดและผู้บริโภคให้ถ่องแท้เพื่อระมัดระวัง รวมถึงเตรียมตัวรับมือเพื่อให้อยู่รอดในโลกของอีคอมเมิร์ซในอนาคต ซึ่งหากเจาะลึกจะมี 3 อย่างที่ต้องทำความเข้าใจดังนี้

1. Understand lifestyles not trend ต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าก่อน ไม่ใช่เทรนด์ เนื่องจากยุคดิจิทัลเทรนด์ตลาดหรือผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจอยู่ได้ไม่กี่วัน เทียบอดีตอยู่ได้เป็นเดือนหรือเป็นปี

แต่การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเชิงลึกจะทำให้ผู้ประกอบการขายสินค้าได้อย่างยั่งยืน เช่น ผู้บริโภคซื้อแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 และมองหาสินค้าอื่นเพื่อดูแลสุขอนามัย สะท้อนความต้องการสินค้าอื่นอย่างต่อเนื่อง เพราะไลฟ์สไตล์กลัวเชื้อโรค รักสุขภาพไม่เปลี่ยน แต่ความต้องการสินค้าเปลี่ยนได้

2. Understand journey not channels ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าก่อนเลือกช่องทาง การเข้าใจเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภค (Customer journey) มีความสำคัญมาก เพื่อให้พ่อค้าแม่ขายสามารถนำเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชั่น ผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Marketplace อย่าง Lazada, Shopee, JD Central Social Commerce อย่าง Facebook, Instagram หรือช่องทางเว็บไซต์ ได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

ปัจจุบันทุกช่องทางจำหน่ายมีความสำคัญเท่าๆ กัน เพราะตอบโจทย์คนละอย่างกัน ไม่มีช่องทางออฟไลน์ หรือออนไลน์สำคัญกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน, Shopee, Lazada หรือ Facebook เพราะแต่ละช่องทางมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ไม่ใช่ว่าทุกช่องทางจะเหมาะกับทุกคน เช่น Marketplace เป็นการค้นหาสินค้าใหม่ๆ

โซเชียลคอมเมิร์ซเป็นช่องทางอ้างอิงว่าสินค้าน่าเชื่อถือ และ Website หรือ Line @ เป็นช่องทางช่วยทำให้เกิดการซื้อซ้ำ แต่ละช่องทางคาแรกเตอร์ต่างกัน ผู้คนที่เข้ามาในช่องทางแต่ละอันก็คาดหวังไม่เหมือนกัน เส้นทางการซื้อสินค้า (Customer journey) ต่างกัน

หากคุณทำช่องทาง Marketplace แพงๆ หวังกำไร โพสต์ขายของหนัก ๆ บนโซเชียลมีเดีย และทำเว็บไซต์ตัวเองหรือไลน์ไว้เพื่อหาลูกค้าใหม่ ธุรกิจคุณไปต่อได้ยากแน่ๆ เพราะใช้แต่ละช่องทางผิดจุดประสงค์ ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ก่อน เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า

3. Understand patterns not numbers ต้องเข้าใจรูปแบบไม่ใช่ตัวเลข การขายสินค้าออนไลน์ค่อนข้างมีรูปแบบ อย่างการจัดโปรโมชั่น 11 11, 12 12 ของ Marketplace แบรนด์ต่างๆ หรือสถานการณ์ก่อนและหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะรู้ทิศทางสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ สินค้าขายดี เช่น สินค้าแฟชั่น เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เมื่อถูกกระทบจากโควิดยอดขายจึงหดตัว เป็นต้น


ทั้งนี้ ไม่ต้องการให้ผู้ประกอบการยึดติดกับตัวเลขที่คาดการณ์ไปล่วงหน้า เพราะความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน แม้จะมีดาต้า เราก็ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แต่การเข้าใจแพตเทิร์น ทำให้รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำเราจะไม่พลาดอีก เช่น หากเกิดโรคระบาดอีกครั้ง จะทราบว่าสินค้าหมวดไหนจะตก อันไหนจะเติบโต

ที่สำคัญคุณต้องไว้วางใจผู้อื่นมากขึ้นอย่าถือทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง กระจายการทำงานที่ไม่ถนัดให้คนที่เค้าถนัดทำ คุณจะได้สามารถโฟกัสเฉพาะแค่สิ่งที่ถนัดได้ และหากเกิดวิกฤติอีก จะได้ยืดหยุ่นพอที่จะปรับแปลงบริบทได้แบบทันท่วงที ทั้งนี้ต้องระมัดระวังเรื่องการนำเงินไปลงทุน ต้องกระจายความเสี่ยง อย่าเพิ่งลงทุนหวังผลระยะยาวและความคุ้มค่า ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นก่อนดีกว่า

นิธิ บอกอีกว่า การใช้ข้อมูลหรือดาต้า ถือเป็นหัวใจสำคัญมาก ข้อมูลในอดีตเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการวางแผนงานได้แม่นยำ สังเกตเห็นว่าเราทำอะไรที่ผิดพลาด และทำยังไงให้ธุรกิจการค้าทำดีขึ้นกว่าเมื่อวานได้


ใช้ DATA พัฒนาช่วยสร้างจุดแข็ง

ทั้งนี้ MyCloudFulfillment ในฐานะผู้ให้บริการด้านคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร มีจุดแข็งด้านดาต้าในกระบวนการ เก็บ แพ็ก ส่งที่ช่วยลูกค้าได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า (Order Management Data) ที่สามารถช่วยรวมออเดอร์ของแต่ละช่องทางการขายมาเป็นที่เดียว และช่วยให้จัดการข้อมูลการซื้อของลูกค้า จัดการช่องทางการขาย จัดโปรโมชั่นอย่างมีประสิทธิภาพ และมองเห็นโอกาสการเติบโตได้ (Growth potential)

ส่วนการบริหารจัดการข้อมูลการเก็บสต๊อกสินค้า (Inventory Management Data) ที่สามารถช่วยแนะนำสต๊อกสินค้าที่เหมาะสมของแต่ละ SKU ได้ (Stock optimization) ให้สามารถเห็นได้ว่าสินค้าตัวไหนเก็บเยอะเกินไปหรือน้อยเกินไป ขั้นต่ำที่ควรเก็บคือจุดไหน เมื่อสต๊อกเหลือถึงจุดไหนถึงควรเติม

ทั้งหมดจะช่วยให้ธุรกิจบริหารค่าใช้จ่าย ค่าเช่า การเก็บสินค้า และการขนส่งเติมสินค้าให้พอดี เพื่อช่วยไม่ให้เงินจม และการบริหารจัดการข้อมูลการแพ็กและส่งสินค้า (Fulfillment Performance Data) ที่สามารถช่วยให้มองเห็นกำไรและต้นทุนของแต่ละสินค้าแต่ละออเดอร์ได้ ร้านค้าจะทราบได้ว่าสินค้าตัวไหนขายแล้วได้กำไรดี ตัวไหนขายแล้วขาดทุน สามารถช่วยแนะนำวิธีให้ร้านค้าทำให้การซื้อต่อครั้งแพงขึ้น และช่วยให้ทำกำไรได้ดีขึ้น

ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด และผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด และผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)


พิชิตใจ VC

ล่าสุด MyCloudFulfillment ได้รับเงินลงทุน Series A มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากผู้ลงทุน ได้แก่ ECG-RESEARCH, Gobi Partners, NVest Venture และ SCB 10X โดยมีเป้าหมายที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาระบบการจัดการด้านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ