ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงพลังงานได้ประเมินสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศสหรัฐฯและอิหร่าน ที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ขยับขึ้น 4% อยู่ที่ 69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบของไทย ณ วันที่ 6 ม.ค.มีปริมาณรวม 2,988 ล้านลิตร และน้ำมันดิบสำรองที่อยู่ระหว่างขนส่งจากต่างประเทศ อีก 1,144 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูปจากคลังน้ำมันในประเทศอีก 1,468 ล้านลิตร รวมปริมาณที่สามารถใช้น้ำมันได้ 50 วัน โดยไม่ต้องนำเข้า ส่วนปริมาณสำรองก๊าซหุงต้มมีจำนวน 101 ล้านกิโลกรัม ใช้บริโภคในภาคครัวเรือน ภายในประเทศรวม 17 วัน โดยไม่ต้องนำเข้า
ล่าสุดได้มอบให้กลุ่ม ปตท.ไปปรับลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เคยนำเข้าสูงถึง 74% ของการนำเข้ารวมให้ปรับลดเหลือ 50% ขณะที่ด้านการผลิตปิโตรเลียมในประเทศ ปัจจุบันผลิตน้ำมันดิบได้ 130,000 บาร์เรลต่อวัน และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ขอความร่วมมือ ในการงดส่งออกน้ำมันดิบ เพื่อทำให้ได้ปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากการผลิตในประเทศอีก 25,000 บาร์เรลต่อวัน หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถเพิ่มการผลิตภายในประเทศให้มากขึ้นอีก 36,000 บาร์เรลต่อวัน
สำหรับการบริหารราคาน้ำมัน จะใช้กองทุนน้ำมัน เข้ามาบริหารจัดการราคาในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ขณะนี้สถานะกองทุนน้ำมันอยู่ที่ 37,378 ล้านบาท และวันที่ 10 ม.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมัน เพื่อประเมินสถานการณ์ แม้ว่าราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในกรอบที่รับมือได้ เนื่องจากที่ผ่านมาได้เตรียมแผนการรับมือกับสภาวะฉุกเฉินล่วงหน้าไว้แล้ว พร้อมมองว่าหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับขึ้นแตะ 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล กระทรวงจะมีมาตรการที่จะเข้มข้น เพื่อรองรับกับสถานการณ์ต่อไป โดยพร้อมบริหารจัดการ เพื่อจัดหาน้ำมันให้มีใช้อย่างต่อเนื่อง และราคาไม่ให้เกิดความผันผวน จนส่งผลกระทบต่อประชาชน.