ผุด..ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย! ครม.ไฟเขียวต่อยอดโครงการชิมช้อปใช้

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ผุด..ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย! ครม.ไฟเขียวต่อยอดโครงการชิมช้อปใช้

Date Time: 2 ต.ค. 2562 08:50 น.

Summary

  • คลังเล็งเคาะ “ชิมช้อปใช้” เฟส 2 ภายใน ต.ค.นี้ หวังคนใช้กระเป๋าเงินช่อง 2 คืนเงิน 15% เฉลี่ย 13,500 บาทต่อราย ดันเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านบาท

Latest

รอบรั้วการตลาด : Mega Clinic ทำ all-time high เปิดกลยุทธ์ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย

คลังเล็งเคาะ “ชิมช้อปใช้” เฟส 2 ภายใน ต.ค.นี้ หวังคนใช้กระเป๋าเงินช่อง 2 คืนเงิน 15% เฉลี่ย 13,500 บาทต่อราย ดันเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านบาท ด้านนายกฯระบุมาตรการนี้ได้ผล ไม่เข้าใจ ยังถูกโจมตี ขณะที่ ครม.เห็นชอบมาตรการส่งเสริมคนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มเติมอีก เปิดขายแพ็กเกจร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทย 40,000 แพ็กเกจ ผ่านออฟฟิศเชียล ไลน์ของ ททท. รวมทั้งนำสินค้าหรูหรา มาขายเที่ยววันธรรมดา ราคาช็อกโลก ส่วนมาตรการลดค่าครองชีพได้ขยายเวลาลดค่าน้ำค่าไฟ

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาขยายการลงทะเบียนชิมช้อปใช้ระยะที่ 2 หรือ เฟส 2 ว่า ขอประเมินผลมาตรการชุดแรกที่เพิ่งดำเนินการก่อนว่าคนที่ลงทะเบียนจะมีการใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน ส่วนถ้าจะมีอะไรออกมาเพิ่มเติมจะสรุปผลภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยสศค.อยากกระตุ้นการใช้จ่ายในส่วนกระเป๋า 2 ซึ่งเมื่อเติมเงินไปจะได้รับเงินคืน 15% ของยอดการใช้จ่ายรวม โดยสูงสุดจะได้รับเงินคืนไม่เกิน 4,500 บาท วงเงินใช้จ่ายรวม 30,000 บาทมากกว่าการเพิ่มจำนวนผู้ลงทะเบียนให้มากกว่า 10 ล้านราย

“กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายว่าจะมีคนมาใช้สิทธิ์ในกระเป๋า 2 ประมาณ 3 ล้านราย วงเงินใช้จ่ายเฉลี่ย 13,500 บาทต่อรายจากยอดใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 30,000 ต่อราย ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 40,000 ล้านบาท”

ส่วนการลงทะเบียนชิมช้อปใช้เมื่อวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นวันที่ 9 ของการลงทะเบียนพบว่ามีผู้มาลงทะเบียนครบจำนวน 1 ล้านราย ในเวลา 03.14 น. ช้ากว่าวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งครบ 1 ล้านราย ในเวลา 03.06 น. อย่างไรก็ตามขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนแล้วจำนวน 9 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้พบว่ามีผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จตามเงื่อนไขประมาณ 200,000 รายต่อวัน ดังนั้นกระทรวงการคลังจะเปิดให้ลงทะเบียนจนกว่าจะครบจำนวน 10 ล้านราย จนถึงวันที่ 15 พ.ย. 2562 ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วสามารถนำวงเงิน 1,000 บาทไปใช้ในจังหวัดที่เลือกไว้จนถึงวันที่ 30 พ.ย.2562

ขณะที่การใช้จ่ายผ่านมาตรการตั้งแต่วันที่ 27-30 ก.ย.2562 รวม 4 วัน ประมาณ 500,000 ราย มียอดการใช้จ่ายแล้วราว 440 ล้านบาท เพิ่มจากวันที่ 30 ก.ย.ผ่านมาประมาณ 140 ล้านบาท โดยมียอดการใช้จ่ายเพิ่มในกระเป๋าที่ 2 เพื่อรับสิทธิ์คืนเงิน 15% แล้วกว่า 2,000 รายวงเงิน 6 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละประมาณ 2,500 บาท นายกฯชี้โครงการได้ผล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” รับเงินผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ว่า จากเท่าที่ตนสังเกตโครงการนี้ได้ผล แต่ก็ถูกโจมตีพอสมควร ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน การทำโครงการนี้มีระบบควบคุม มีการขึ้นทะเบียน มีการรายงานตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถชี้แจงได้

ส่วนความยุ่งยากในขั้นตอนและการใช้เงินนั้น ก็ต้องเข้าใจว่าเงินของรัฐบาล เงินหลวง ไม่ได้ง่ายที่จะใช้อะไรก็ได้ ถ้าผิดขึ้นมารัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบอีก ฉะนั้น หากท่านจะใช้เงินก็ให้เคารพกติกาบ้าง ใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่ได้ ต้องใช้ตามความจำเป็น ส่วนที่บอกว่าการใช้เงินยุ่งยาก แต่วันนี้เราเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสดมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างการใช้เงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่เรื่องไปแจกเงินสดในมือ แต่เป็นการโอนเข้าบัญชี ที่เขาเรียกว่ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-วอลเลท) เราต้องศึกษาเรื่องเหล่านี้ด้วย

“รัฐบาลมีมาตรการเหล่านี้ออกมา เพื่อควบคุมการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ เพื่อวันหน้าทำได้อีก ก็เป็นธรรมดา อะไรก็ตามที่เราไม่เคยใช้ก็ต้องเรียนรู้และคุ้นเคยกับมันเอง อย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตอนแรกก็ยุ่งยากพอสมควร แต่วันนี้ก็เข้าใจกันหมดแล้ว มีแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้มากกว่าเดิม รัฐบาลกำลังหาเงินอยู่” ท่องเที่ยวต่อยอดร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เสนอ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ในรายการงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 116 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ ให้ทั่วไทย” ซึ่งเป็นโครงการที่จะมาเสริมมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” โดยใช้เงินร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทยในวันที่กำหนด เช่น วันที่ 10 เดือน 10, วันที่ 11 เดือน 11 และวันที่ 12 เดือน 12 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น และสร้างรายได้ท่องเที่ยวได้ตามเป้าหมาย

ด้าน น.ส.ไตรสุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการที่ ครม.อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการ ประกอบด้วย 1.มาตรการร้อยเดียว เที่ยวทั่วไทย” โดยร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม ที่พัก สายการบิน สปา แหล่งท่องเที่ยว และสมาคมต่างๆ นำแพ็กเกจมาขายในราคาพิเศษ ราคา 100 บาท จำนวน 10,000 รายการต่อรอบกิจกรรม รวมทั้งหมด 40,000 รายการ โดยลงทะเบียนเพื่อร่วมซื้อผ่านทาง ออฟฟิศเชียล ไลน์ ของททท.เพื่อรับสิทธิ์นั้นในลิงค์สู่หน้าการซื้อแพ็กเกจ โดยสามารถซื้อได้คนละ 1 รายการเน้นเท่านั้น มุ่งไปยังกลุ่มเจน X และเจน Y และกลุ่มผู้มีกำลังการใช้จ่ายในระดับปานกลาง โดยส่วนนี้ใช้งบ 63 ล้านบาท

2.มาตรการเที่ยววันธรรมดา ราคาช็อกโลก ซึ่งจะนำสินค้าท่องเที่ยวกลุ่มหรูหรา (Luxury) ได้แก่ โรงแรมที่พัก บริษัทนำเที่ยว สายการบิน แบรนด์สินค้าชั้นนำ สปา โรงพยาบาล ร้านอาหาร ร้านจิลเวลรี่ สวนสนุกและบริการต่างๆ โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในราคาพิเศษสุด ผ่านทางเว็บไซต์ และโมบาย แพล็ตฟอร์ม ใช้งบประมาณ 52.5 ล้านบาท ซึ่ง ททท.จะแถลงรายละเอียดของโครงการต่อไป ขยายลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปา

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามกระทรวงการคลังเสนอขยายมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาให้แก่ประชาชนถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบาล ต่อไปอีก 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.2562 ถึงเดือน ก.ย.2563 โดยประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการฯ 14.6 ล้านคนนั้น คิดเป็นครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว ประมาณ 8.2 ล้านครัวเรือน โดยประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ได้รับลดค่าไฟฟ้า 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน คิดเป็นเงิน 1,740 ล้านบาท ส่วนค่าน้ำประปาได้รับเงินช่วยเหลือ 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน คิดเป็นเงิน 30 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,770 ล้านบาท

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบ ขยายมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 5% ให้ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ตั้งแต่เดือน พ.ย.2562 จน ถึงเดือน ก.ย.2563 โดยคาดว่า จะใช้เงินงบประมาณ 99.30 ล้านบาท

“มาตราลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ที่ ครม.เห็นชอบในครั้งนี้ เป็นมาตรการต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2562 ซึ่งสิ้นสุดไปแล้ว เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ครม.จึงเห็นชอบขยายมาตรการออกไปอีก 1 ปี เช่นเดียวกับมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ”.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ