ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยโล่งอก

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยโล่งอก

Date Time: 27 พ.ค. 2562 07:11 น.

Summary

  • อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทยโล่งอก หลัง “ทรัมป์” ลงนามคำสั่งให้ “ยูเอสทีอาร์” เปิดเจรจาทำความตกลงกับอียู ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆที่ส่งออกไปสหรัฐฯมาก

Latest

รอบรั้วการตลาด : Mega Clinic ทำ all-time high เปิดกลยุทธ์ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย

(ภาพ : นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม)

เปิดชื่อยักษ์ใหญ่หนีลงทุนจีนเข้าอาเซียน

อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทยโล่งอก หลัง “ทรัมป์” ลงนามคำสั่งให้ “ยูเอสทีอาร์” เปิดเจรจาทำความตกลงกับอียู ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆที่ส่งออกไปสหรัฐฯมาก และมีผลกระทบต่อความมั่นคง “พาณิชย์” ประเมินไทยไม่น่าอยู่ในลิสต์ที่ต้องคุยด้วย เพราะมีส่วนแบ่งตลาดน้อยมากจนไม่น่าเป็นภัยคุกคาม ขณะ สศช.ชี้ไทยและเพื่อนบ้านเป็นเป้าหมายของยักษ์ใหญ่เตรียมย้ายฐานหนีจากจีน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ประชุมร่วมกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เพื่อติดตามสถานการณ์ และกำหนดท่าทีในการดำเนินการของไทย หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ดำเนินการเจรจาทำความตกลงกับประเทศที่ส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ เพื่อลดการนำเข้า หรือจำกัดการนำเข้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ และป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยให้รายงานผลภายใน 180 วัน

“นับเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย เพราะไม่มีรายชื่ออยู่ที่สหรัฐฯ ระบุไว้ในเป้าหมาย และไม่น่าจะต้องมาหารือกับไทย เพราะยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย มีสัดส่วนในตลาด สหรัฐฯน้อยมาก สำหรับรายการสินค้าที่สหรัฐฯระบุว่ามีการนำเข้าสหรัฐฯเพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถปิกอัพ รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (โฟร์วีล), ชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น เครื่องยนต์และชิ้นส่วน ระบบส่งกำลัง ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า เป็นต้น”

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ของสินค้าไทยพบว่า ในปี 61 สหรัฐฯนำเข้ายานยนต์จากไทย 230.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของมูลค่าที่สหรัฐฯนำเข้าจากทั่วโลกที่ 208,000 ล้านเหรียญฯ และชิ้นส่วนยานยนต์สหรัฐฯนำเข้าจากไทย 1,296.4 ล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.9% ของมูลค่าที่สหรัฐฯนำเข้าจากทั่วโลกที่ 138,991.8 ล้านเหรียญฯ

ด้านนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน สร้างผลกระทบให้บริษัทต่างๆจำเป็นต้องมีความชัดเจนในการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายทางการค้าที่บริษัทจะได้รับ จากการคงฐานการผลิตไว้ที่เดิม ซึ่งอาจจะมากกว่าต้นทุนในการย้ายฐานการผลิต โดยก่อนหน้านี้มีผลสำรวจจากสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่างน้อย 3 แห่ง ได้ทำการสำรวจบริษัทเอกชนที่ฐานการผลิตอยู่ในจีน เรื่องของปลายทางที่น่าสนใจหากจะมีการย้ายฐานการผลิตพบว่า ทั้ง 3 สถาบันระบุตรงกันว่าคือ ภูมิภาคอาเซียน

สำหรับตัวอย่างเช่น บริษัท Quanta Computer อยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ในการย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียน บริษัท Foxconn อยู่ระหว่างพิจารณาย้ายฐานไปยังเวียดนามและ ไต้หวัน ขณะที่บริษัท Compal Electronics อยู่ระหว่างพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม บริษัท RICOH คาดว่าจะย้ายโรงงานมาไทยภายในปี 2562 ด้านบริษัท Harley Davidson ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงาน ไทย บริษัท Samsonite International SA อยู่ระหว่างพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เป็นต้น

นายปรัชญา สมะลาภา ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออก หอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีนักธุรกิจจีน ญี่ปุ่น และไต้หวันที่ตั้งโรงงานในจีนจำนวนมากเข้ามาในไทย เพื่อขอซื้อโรงงานร้าง หรือขอเช่าอาคารของโรงงานต่างๆ ทั้งในเขตจังหวัดภาคตะวันออก และในนิคมอุตสาหกรรม เพราะนักธุรกิจกลุ่มเหล่านี้ได้รับผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน จึงทำให้การส่งออกสินค้าจากจีนไปสหรัฐฯต้องเสียภาษีนำเข้า 25%.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ