ดึง “อาคม” ดูหนี้สิน 1.37 แสนล้าน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังรับหนังสือคัดค้านจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กรณีที่คณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. มีมติให้ กทพ.ต่อสัญญาอายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ออกไปอีก 37 ปี เพื่อแลกหนี้สินที่ กทพ.ต้องจ่ายให้กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีเอ็ม มูลค่ารวม 1.37 แสนล้านบาท ว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาแนวทาง ประเด็นที่สหภาพฯ และพนักงาน กทพ.กังวล คือ เรื่องของข้อมูลที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการตามสัญญาสัมปทานอาจยังไม่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการระบบทางด่วนขั้น 2 และคณะกำกับดูแลโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ต้องนำข้อมูลไปประเมินตัวเลข ความเสี่ยง และค่าเสียหาย

นายกฤชเทพ สิมลี รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 กล่าวว่า กทพ.ได้รายงานถึงผลการดำเนินการ พร้อมกับนำข้อมูลที่สหภาพฯเสนอ รวมไปถึงเรื่องของข้อมูลความเสี่ยง โดยหลังจากนี้ กทพ.จะนำข้อมูลไปพิจารณา ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ด กทพ. วันที่ 23 ม.ค.นี้ หากได้ข้อสรุปเรื่องของสัญญา ก็จะนำเสนอต่อที่ประชุมอีกครั้ง รวมถึงหากมีการปรับแก้เงื่อนไขสัญญา ก็ต้องนำเสนอที่สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มาของวงเงิน 1.37 แสนล้านบาท ที่บอร์ด กทพ. ประเมินเป็นมูลค่าหนี้ที่ต้องจ่ายให้กับเอกชน จนเป็นเหตุให้เจรจาขยายสัมปทาน 37 ปี เพื่อชดเชยหนี้ดังกล่าว เป็นมูลค่าหนี้ที่มาจากคดีที่ศาลตัดสินแล้ว วงเงิน 4,300 ล้านบาท คดีที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องเอกชนมีสิทธิ์เรียกร้องหนี้ มูลค่า 61,000 ล้านบาท รวมมูลค่าหนี้ 65,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีหนี้ที่ยังไม่เกิด แต่เป็นลักษณะคดีที่เอกชนมีสิทธิ์ฟ้อง 70,000 ล้านบาท ทำให้บอร์ด กทพ. รวมหนี้ส่วนนี้ ลงไป เพราะต้องการล้างหนี้ทั้งหมดของ กทพ.ให้เป็นศูนย์

ทั้งนี้ จุดยืนของสหภาพฯคือการไม่เห็นด้วยกับแนวทางขยายสัญญาสัมปทาน 37 ปี ให้กับบีอีเอ็ม โดย กทพ.จะต้องจ่ายหนี้เฉพาะตามคำพิพากษาของศาล จำนวน 4,300 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากศาลมีคำพิพากษาให้ กทพ. แพ้คดีเพียงคดีเดียวเท่านั้น ดังนั้น หนี้ตามคำพิพากษาจึงมีเพียง 4,300 ล้านบาท ไม่ใช่ 137,000 ล้านบาท.