นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า จากการเปิดให้ประชาชนและนักลงทุนสถาบัน จองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยหรือ Thailand Future Fund (TFFIF) เมื่อวันที่ 12-19 ต.ค.ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า ประชาชนทั่วไปยื่นจองซื้อหน่วยลงทุน 41,200 ใบจอง มูลค่ารวม 28,800 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศ ส่งผลให้ได้ราคาเสนอขายสูงสุดอยู่ที่ 44,700 ล้านบาท
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวว่า กองทุน TFFIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ภาครัฐสนับสนุนเพื่อให้ประชาชน มีทางเลือกในการลงทุน ได้ผลตอบแทนที่มั่นคง มีโอกาสเติบโต จึงได้พิจารณาจัดสรรหน่วยลงทุนให้ประชาชนทั่วไปมากกว่า 50% ของจำนวนหน่วยลงทุนที่เสนอขายทั้งหมด โดยมีสัดส่วนของผู้ถือหน่วยลงทุนของ TFFIF ภายหลังจากการระดมทุนดังนี้ 1.กระทรวงการคลัง 457 ล้านหน่วย มูลค่า 4,570 ล้านบาท หรือ 10% 2.ประชาชนทั่วไป 2,300 ล้านหน่วย มูลค่า 23,000 ล้านบาท หรือ 50% 3.ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 1,813 ล้านหน่วย มูลค่า 18,130 ล้านบาท หรือ 40%
ด้านนายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะตัวแทนที่ปรึกษากองทุน TFFIF กล่าวว่า นักลงทุนรายย่อยสนใจจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน TFFIF มากกว่า 28,800 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามากกว่ามูลค่าที่ได้จัดสรรไว้เบื้องต้น ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ และสถาบันที่บริหารกองทุนเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั่วไป เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม เป็นต้น ได้แสดงความต้องการจองซื้อหน่วยลงทุนมากกว่าที่จัดสรรไว้เบื้องต้นเช่นกัน ส่งผลให้จำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายครั้งนี้อยู่ที่ 4,470 ล้านหน่วย ราคาหน่วยละ 10 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายเท่ากับ 44,700 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้จองซื้อสามารถตรวจสอบผลการจัดสรรได้ที่ บลจ. กรุงไทย, บลจ.เอ็มเอฟซี, บล.ฟินันซ่า, บล.ภัทรธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงเทพ และตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ www.settrade.com และ www.tffif.com
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า หน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนของ TFFIF น่าจะเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 31 ต.ค.นี้ โดยกองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และในแต่ละรอบปีบัญชีจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว.