คลังจัดหนักคืน “แวต” คนจน “อภิศักดิ์” ย้ำเศรษฐกิจฟื้นเลิก “ช็อปช่วยชาติ”

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

คลังจัดหนักคืน “แวต” คนจน “อภิศักดิ์” ย้ำเศรษฐกิจฟื้นเลิก “ช็อปช่วยชาติ”

Date Time: 12 ก.ค. 2561 08:52 น.

Summary

  • คลังเล็งคืนภาษีแวต ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะกรณีเติมเงินเพื่อใช้จ่ายในสิ่งของที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ หวังบรรเทาภาระให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย

Latest

รอบรั้วการตลาด : Mega Clinic ทำ all-time high เปิดกลยุทธ์ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย

คลังเล็งคืนภาษีแวต ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะกรณีเติมเงินเพื่อใช้จ่ายในสิ่งของที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ หวังบรรเทาภาระให้ประชาชนที่มีรายได้น้อย ลั่นยกเลิกโครงการ “ช็อปช่วยชาติ” หลังจากใช้มาแล้ว 3 ปี เศรษฐกิจดีแล้ว ไม่ต้องกระตุ้นอีกต่อไป

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังศึกษามาตรการพิเศษเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนที่มีรายได้น้อยตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยในหลักการกระทรวงการคลังจะช่วยเหลือประชาชนที่ลงทะเบียนขอรับสวัสดิการแห่งรัฐ เนื่องจากคนกลุ่มนี้กระทรวงการคลังมีข้อมูลอยู่แล้ว เช่น ชื่อ นามสกุล เพศ อายุ ภูมิลำเนา การประกอบอาชีพ และรายได้ ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนถือบัตรสวัสดิการฯอยู่ประมาณ 11.4 ล้านคน

“ตอนนี้กำลังศึกษาแนวทางที่เป็นไปได้ เนื่องจากกระทรวงการคลังมีฐานข้อมูลผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ซึ่งถือว่าเป็นคนจนของประเทศโดยมีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี โดยจะเสนอให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% ให้แก่ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่เติมเงินเพิ่มเข้าไปในบัตร ซึ่งปัจจุบันบัตรสวัสดิการฯ มีวงเงิน 200 บาทหรือ 300 บาทต่อเดือนในการซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐอยู่แล้ว แต่หากต้องการซื้อสินค้าอื่นๆเพิ่มเติม เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ หรือสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ต้องเสียภาษีแวต กรมสรรพากรก็จะคืนให้เช่น โทรศัพท์มือถือ เพราะในบางครั้ง มีความจำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาชีพและรองรับการใช้เงินแบบไร้เงินสด แต่จะไม่คืนภาษีแวตให้แก่สินค้าอบายมุข เช่น เหล้า บุหรี่ เป็นต้น”

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการฯ จะต้องเติมเงินเข้าไปในบัตรก่อนเช่น 300 หรือ 500 บาท ซึ่งปัจจุบันบัตรสวัสดิการฯ มีระบบเดบิตรองรับไว้อยู่แล้วและเมื่อรูดบัตรจากเครื่องรับชำระเงินอัตโนมัติ (อีดีซี) ข้อมูลจะโอนไปให้กรมสรรพากรทันที ซึ่งจะทำให้ทราบว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ มีภาระภาษีแวตจำนวนเท่าไหร่ หลังจากนั้นกรมสรรพากรก็คืนภาษีให้ตามจำนวนที่ถูกใช้ไป”

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า มาตรการดังกล่าว คาดว่า จะมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งอาจจะเริ่มต้นในเดือน ต.ค.จนถึงเดือน ธ.ค. เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ดังนั้นโครงการช็อปช่วยชาติ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนที่เป็นคนชั้นกลางของประเทศ ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในวงเงินไม่เกินคนละ 15,000 บาท นำมาหักค่าลดหย่อนได้ก็ต้องยกเลิกไป เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเริ่มดีขึ้นแล้วก็ต้องมาเพิ่มความช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยแทน

“สาเหตุที่โครงการคืนภาษีแวตใช้ระยะเวลานานถึง 3 เดือน ขณะที่โครงการช็อปช่วยชาติมีเวลาเพียง 15 วัน เนื่องจากคนที่มีรายได้น้อยใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง จึงต้องเพิ่มระยะเวลาในการใช้จ่ายให้นานมากขึ้น ส่วนการคืนภาษีแวตนั้น กรมสรรพากรจะคืนให้ครั้งเดียวทั้งหมด โดยไม่ได้เป็นการเพิ่มความยุ่งยาก เพราะรัฐบาลอยากให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีข้อมูลของประชาชนกลุ่มนี้มากขึ้น ทำให้รู้ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายในเร็วๆนี้”

ส่วนของเงื่อนไข ขั้นตอนและหลักเกณฑ์ต่างๆ ตลอดจนงบประมาณที่จะนำมาใช้นั้น ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการศึกษารายละเอียด โดยกระทรวงการคลังจะตั้งงบประมาณในการชดเชยในการคืนภาษีแวตเข้าในบัตรสวัสดิการฯ ตามที่ผู้ใช้ได้จ่ายจริงเช่นเดียวกับโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งวิธีการนี้ทำให้ระบบการทำงานของกรม สรรพากรสะดวกและรวดเร็ว ส่วนระบบคิวอาร์โค้ดนั้น จะยังไม่เข้าร่วมโครงการเพราะเป็นระบบผ่านโทรศัพท์มือถือ (สมาร์ทโฟน) ซึ่งขณะนี้หลายหน่วยงานอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสรุปแนวทางที่ชัดเจนต่อไป

ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายก-รัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ประชาชนในระดับฐานรากจะมีรายได้มากขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างทำมาตรการออกมาผ่านทางโครงการประชารัฐ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ จะคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยทั้งปี 2561 จะขยายตัวเกิน 4% ส่วนระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยนั้นขณะนี้ลดลงเหลือเพียง 40% ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมากหลังจากจีดีพีขยายตัวขึ้น ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลดลงและเอื้อต่อการลงทุนโครงการสาธารณูป-โภคที่สำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวในอนาคต.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ