นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.39 น. ของวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ทีโอทีได้ลงนามในสัญญาเช่าเครื่องและอุปกรณ์โทรคมนาคม และสัญญาการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศระบบ 2300 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 60 เมกะเฮิรตซ์ กับบริษัท เทเลแอสเสท จำกัด ในเครือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ณ สำนักงานของดีแทค อาคารจามจุรีสแควร์ ชั้น 41 ห้องบอร์ดรูม มีระยะเวลา 8 ปี เริ่มตั้งแต่ 23 เม.ย.2561-3 ส.ค.2568 และจะสร้างรายได้ให้ทีโอทีปีละ 4,510 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทีโอทีและดีแทคได้เริ่มเจรจารายละเอียดการเป็นพันธมิตรธุรกิจช่วงเดือน พ.ค.2560 จนถึงวันนี้ (23 เม.ย.) ใช้เวลาเกือบ 1 ปี โดยสัญญานั้น ทีโอทีจะเช่าเครื่องและอุปกรณ์โทรคมนาคมจากเทเลแอสเสท เพื่อนำมาสร้างโครงข่าย เพื่อให้บริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือ และสัญญาการให้บริการข้ามโครงข่าย (โรมมิ่ง) กับบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ซึ่งลักษณะสัญญาเป็นแบบเดียวกับที่ทีโอที ได้ทำกับบริษัทในเครือบริษัท แอดวานซ์ อิน โฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส บนคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 15 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อเดือน ม.ค.2561 ที่ผ่านมา
นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า ความร่วมมือกับทีโอทีครั้งนี้ มีนัยสำคัญมากต่อการยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของคนไทยและการพัฒนาประเทศ เพราะการได้นำคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ ที่มีความกว้างที่สุดถึง 60 เมกะเฮิรตซ์ มาเพิ่มคุณภาพบริการใช้งานดิจิทัลของผู้บริโภคนั้น จะยิ่งทำให้การใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เร็วขึ้น และถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยให้อยู่ในอันดับผู้นำของกลุ่มประเทศอาเซียน และช่วยกระตุ้นกระบวนการการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การลงนามในสัญญาครั้งนี้ จะทำให้ดีแทคมีคลื่นความถี่ใช้งานเพิ่มขึ้นราว 60 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งการได้คลื่นมาเพิ่มนั้น ทำให้ความจำเป็นในการเข้าประมูลคลื่นใหม่น้อยลง หลังจากที่สัญญาสัมปทานมือถือกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท จะสิ้นสุดลงในเดือน ก.ย.นี้.