ลูกชาย “ประวิทย์ มาลีนนท์” ล้างพอร์ตขายหุ้นบีอีซี “ประชุม” นำทีมพี่สาวไล่เก็บ รวมหุ้นเกินร้อยละ 25 สู้คนนอก หลังชื่อ “ทวีฉัตร จุฬางกูร” โผล่เก็บหุ้นกว่า 100 ล้านหุ้น รวมเกินร้อยละ 5 แล้ว
ช่อง 3 กำลังเผชิญศึกอย่างหนัก ที่ไม่ใช่แค่ศึกใน ที่พี่น้อง “มาลีนนท์” กำลังปัดกวาดในบ้านเพื่อเคลียร์การครอบครองหุ้นใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีศึกนอกและ “ศึกรอบทิศ” ที่พร้อมเข้ามาบุกบ้านอีกด้วย
ว่ากันด้วยเรื่อง “ศึกใน” หนีไม่พ้นความคุกรุ่นภายในของพี่น้อง “มาลีนนท์” ที่ขณะนี้อีกฝ่ายถอย และอีกฝ่ายถึงเวลาต้องรุกเต็มที่ ส่วน“ศึกนอก” คือมีผู้ถือหุ้นใหม่ ที่กำลังทยอยเข้ามาเก็บหุ้น ในจังหวะที่ราคาหุ้นช่อง 3 ราคาถูกลง ยิ่งกว่าซัมเมอร์เซล ท่ามกลาง “ศึกรอบทิศ” ที่ช่อง 3 ในฐานะยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 ในธุรกิจทีวี กำลังเผชิญกับสถานการณ์ ถูกเบียด ชิงเรตติ้งทุกนาที จากทีวีดิจิตอลอีกหลายช่อง ที่แม้จะมี “บุพเพสันนิวาส” ที่แรงทำเรตติ้งชนะช่อง 7 ได้ แต่ละครแรงเพียงเรื่องเดียวไม่กี่สัปดาห์ กับเวลาตลอดปีที่เหลืออยู่ ก็คงไม่สามารถฟื้นเรตติ้งได้ทั้งปี
“สายพี่ประวิทย์” ถอยอีกก้าว ทิ้งหุ้นอีกลอต
“ศึกใน” ของบ้าน “มาลีนนท์” กำลังเริ่มชัดเจนเรื่องความเป็นเจ้าของอีกครั้ง หลังความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ 5 ปีก่อน เมื่อนายประวิทย์ มาลีนนท์ พี่ชายคนที่สอง ที่เป็น “นาย” ของคนช่อง 3 มานานนับสิบปี เริ่มถอยด้วยการขายหุ้นที่ถืออยู่ให้ลูกทั้ง 4 คน และลดบทบาทการบริหาร ลาออกจากการเป็นกรรมการ และเลิกยุ่งเกี่ยวกับการบริหารในที่สุด ด้วยการลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2555 โดยให้เหตุผลเรื่องปัญหาสุขภาพ
นายประสาร มาลีนนท์ พี่ชายคนโตเข้ามาบริหารแทน และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2559 จากนั้นพี่น้องส่วนใหญ่จึงเลือก “ประชุม มาลีนนท์” น้องชายคนเล็กขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดแทน
เรื่องราวน่าจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบ เพราะล่าสุดบุคคลในบ้าน “มาลีนนท์” ได้ขายหุ้นและซื้อหุ้นลอตใหญ่ ช่วงวันที่ 26-28 ก.พ.2561 ของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินกิจการทีวีช่อง 3 และมีการรายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว
คนที่ขายหุ้นลอตใหญ่ คือนายวรวรรธน์ มาลีนนท์ บุตรชายนายประวิทย์ ขายหุ้นเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา จำนวน 29,393,750 หุ้น ราคาหุ้นละ 11 บาท โดยนายวรวรรธน์ เป็นบุตร 1 ใน 4 คนที่นายประวิทย์ได้ทยอยขายหุ้นตั้งแต่ธ.ค. 2558 นอกเหนือจากนายวรวรรธน์ ยังมีนางสาววัลลิภา นางสาวอรอุมา และนายชฎิล ซึ่งทุกคนถืออยู่ 29,393,750 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.47
เท่ากับว่านายวรวรรธน์เทขายหุ้นของตัวเองทั้งหมด และเท่ากับอีกว่าบ้านของนายประวิทย์เหลือผู้ถือหุ้น 3 คน รวม 88,181,250 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 5 อยู่ที่ร้อยละ 4.41 เท่านั้น จากเดิมที่เฉพาะนายประวิทย์เคยถือหุ้นร้อยละ 5.88 เมื่อปี 2557 และถ้ารวมของลูก ๆ ด้วยจะมากถึงเกือบร้อยละ 10
“สายน้องประชุม” กว้านซื้อหุ้นสู้ศึกนอก
ในแบบรายงานการซื้อหรือขายหุ้นบีอีซีต่อ ก.ล.ต.รอบนี้ กลุ่มของนายประชุมน้องชายคนเล็กและพี่สาว 3 คน ได้เข้าซื้อหุ้นลอตใหญ่ด้วย คือ
นางสาวนิภา มาลีนนท์ ซื้อ 11,538,300 หุ้น ราคาหุ้นละ 11 บาท เมื่อวันที่ 26 ก.พ.
นายประชุม ซื้อหุ้น 800,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 9.99 บาท ในวันที่ 27 ก.พ. และวันที่ 28 ก.พ.ซื้ออีก 700,000 หุ้น ราคา 10.10 บาท
นางสาวรัตนา มาลีนนท์ ซึ่งเป็นผู้บริหารดูแลด้านการเงินของบริษัท ซื้อ 11,538,300 หุ้น วันที่ 26 ก.พ. ราคาหุ้นละ 11 บาท และนางสาวอัมพร มาลีนนท์ ผู้บริหารที่ดูแลผังรายการ ซื้อ 11,538,500 หุ้น วันที่ 26 ก.พ.ราคาหุ้นละ 11 บาท ซึ่งทั้งนางสาวรัตนา และนางสาวอัมพรได้ซื้อหุ้นมาอย่างต่อเนื่องจากหลานสาวตั้งแต่ช่วงปี 2558-2559 แล้ว
การซื้อลอตนี้เท่ากับทั้ง 4 คนมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นคนละประมาณร้อยละ 0.57 จากเดิมที่เฉพาะนางสาวนิภา นายประชุม นางสาวรัตนา และนางสาวอัมพร ถือหุ้นรวมร้อยละ 21.5 เพิ่มเป็นร้อยละ 23.3 และหากรวมกับลูกของนายประชุมอีก 3 คน เท่ากับ 4 พี่น้องถือหุ้นรวมกันร้อยละ 25.85 ซึ่งปลอดภัยสำหรับการลงคะแนนสนับสนุนหรือคัดค้านมติต่าง ๆ ในที่ประชุมได้ นอกจาก 4 บ้านนี้แล้ว ยังมีครอบครัวของนายประชา มาลีนนท์ ครอบครัวทายาทของนายประสาร และนางรัชนี (มาลีนนท์) นิพัทธกุศล ถือหุ้นรวมกันอีกร้อยละ 14.3
“ทวีฉัตร จุฬางกูร” ลุยซื้อหุ้นช่อง 3 กว่า 100 ล้านหุ้น
เวลานี้ภายในครอบครัวมาลีนนท์ ต้องเคลียร์เรื่องหุ้น เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดการเต็มที่ เพื่อเร่งบริหารให้ธุรกิจฟื้นกลับมา เพราะสัญญาณชัดเจนแล้วว่ามีผู้ถือหุ้นหน้าใหม่ค่อย ๆ ทยอยเก็บหุ้นบีอีซี ที่ถูกลงเรื่อย ๆ ตามรายได้ และกำไรลดลง จากราคาหุ้นละ 51 บาท ณ สิ้นปี 2557 เหลือเพียงประมาณ 11 บาทในปัจจุบัน
คนนอกครอบครัวมาลีนนท์เวลานี้ ที่ถือหุ้นเกินร้อยละ 5 แล้วคือ “ทวีฉัตร จุฬางกูร” ที่เมื่อวันที่ 27 ก.พ.61 นายทวีฉัตร ได้ซื้อหุ้นบีอีซีเพิ่มอีกประมาณ 8.49 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 0.42 จากก่อนหน้านี้เพิ่มเข้ามาไล่ซื้อเมื่อเดือนพ.ย.2560 ประมาณ 91 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละประมาณ 15 บาท ได้สัดส่วนร้อยละ 4.59 ทำให้ปัจจุบันถือหุ้นแล้วรวมร้อยละ 5.02 รวมประมาณ 100 ล้านหุ้นแล้ว
นายทวีฉัตรไม่เพียงเป็นนักลงทุนในหลายธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งบริษัทเล็ก และบริษัทใหญ่ แต่เขาคือลูกหลานครอบครัว “จึงรุ่งเรืองกิจ” ครอบครัวนักธุรกิจที่ส่งสมาชิกมาเป็นเล่นการเมือง ที่เริ่มจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปี 2545-2548 ในโควตาของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และจะมีหลานอีกคนของนายสุริยะ ที่กำลังโดดลงสนามการเมือง คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ในโลกของธุรกิจและความเป็นไปของช่อง 3 ที่มีรายได้ และกำไรเป็นตัววัดเวลานี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตา หรือบุพเพสันนิวาสที่จะนำพามาให้เป็นไป แต่ต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์ และการวางแผน เพื่อให้แต่ละก้าวไม่พลาด เพราะเกมนี้ไม่ใช่เรื่องราวของความบันเทิง