กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผย คนจีนแห่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทย หลังผู้ผลิตปรับปรุงคุณภาพให้เหมาะกับตลาดคนรักสุขภาพมากขึ้น ทั้งลดใช้น้ำมัน เพิ่มส่วนผสมจากธรรมชาติ คาดตลาดโตได้ต่อเนื่อง...
วันที่ 26 ธ.ค. นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยว่า กรมฯ ได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่ที่จีน ได้สำรวจตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยในตลาดจีน ซึ่งพบว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยเป็นที่ชื่นชอบ และเป็นที่นิยมของชาวจีนเป็นอย่างมาก ทั้งรสต้มยำ แกงเขียวหวาน เย็นตาโฟ เป็นต้น โดยสามารถหาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์
ขณะที่ ผู้ประกอบการไทย ต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนที่เปลี่ยนแปลงไป ที่ปัจจุบันหันมาใส่ใจด้านโภชนาการและสุขภาพมากขึ้น ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบเดิมๆ จำหน่ายได้ลดลง แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ได้พัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน ลดการใช้น้ำมัน เพิ่มส่วนผสมจากธรรมชาติในเครื่องปรุง ลดปริมาณเกลือ หรือปรับสูตรใหม่ หรือการพัฒนาเส้นบะหมี่ที่แตกต่างจากเดิม กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังต้องเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีน ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและช่างเลือกมากขึ้น หากทำได้ก็จะทำให้ไทยยังคงสามารถรักษาตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในจีนได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งควรจะศึกษาช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่พบว่ามีการเติบโตสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในจีนชะลอตัวลง เพราะผู้บริโภคใส่ใจในด้านโภชนาการและสุขภาพ จึงลดปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลง แต่ระยะหลัง ผู้ผลิตไทยได้พัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค จึงทำให้ตลาดกลับมาเติบโตได้อีก หลังจากที่เคยชะลอตัวต่อเนื่องติดต่อกันมากว่า 5 ปี คาดว่าในปี 61 ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง
สำหรับมูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยนั้น แต่ละปีอยู่ที่ 30,000-40,000 ล้านบาท โดยในปี 59 มีมูลค่า 39,389 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ปี 60 ส่งออกได้แล้ว 39,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.73% โดยตลาดอันดับ 1 ได้แก่ สหรัฐฯ ซึ่งในช่วง 11 เดือน ส่งออกแล้ว 6,274.61 ล้านบาท ตามด้วยจีน 5,745 ล้านบาท, เมียนมา 3,303 ล้านบาท, ฟิลิปปินส์ 2,880 ล้านบาท, ญี่ปุ่น 2,548 ล้านบาท, ออสเตรเลีย 1,709 ล้านบาท เป็นต้น.