ทำงานหนัก ไม่เท่ากับ สำเร็จ "รู้จักกฎ 85%" ไม่ต้องทุ่มเทเต็มร้อย แต่ผลลัพธ์ดีเท่าเดิม

Business & Marketing

Leadership & Culture

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทำงานหนัก ไม่เท่ากับ สำเร็จ "รู้จักกฎ 85%" ไม่ต้องทุ่มเทเต็มร้อย แต่ผลลัพธ์ดีเท่าเดิม

Date Time: 18 ก.ค. 2567 17:57 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • หมดยุค Work life balance คนไทยต้องเข้าโหมด Work hard to survive แต่การ "ทำงานหนัก" ไม่เท่ากับ "ความสำเร็จ" Thairath Money ชวนทำความรู้จัก “The 85% rule” หรือกฎ 85% เทคนิคการบริหารความพยายาม ให้เราทำงานเต็มประสิทธิภาพ แต่เหนื่อยน้อยลง

Latest


ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ประเด็น Work life balance และ Work hard to survive กลายเป็นหัวข้อถกเถียงร้อนแรงในสังคม เนื่องจากคนบางกลุ่มมองว่า ในยุคเศรษฐกิจโตต่ำ การบริโภคซึมลง ซ้ำร้ายยังถูกทั้งสินค้าจีนและคนจีนเข้ามาตีตลาดแย่งงานทำ การจะหวังทำงานชิลๆ มีเวลาไปใช้ชีวิต อาจเป็นแค่ “ฝันกลางวัน” ไปแล้ว หากใครยังใช้ชีวิตเรื่อยๆ แบบเดิมต่อไปก็เสี่ยงตกงานโดยไม่รู้ตัว ชี้ให้เห็นว่ายุคนี้ถ้าจะอยู่รอดต้องทำงานหนักเท่านั้น


แต่ทั้งนี้ “การทำงานหนัก” ถวายชีวิต เพื่อบรรลุเป้าหมายองค์กร โดยยึดติดกับ KPI ไม่ได้การันตีว่าเราจะสามารถทำงานออกมาได้มีประสิทธิภาพเสมอไป ในทางตรงกันข้าม การทุ่มเทแรงใจแรงกายกับทุกอย่าง มักนำไปสู่ภาวะ หมดไฟ (Burn out) หรือนานวันเข้าหลายคนอาจรับแรงกดดันไม่ไหวจนตัดสินใจลาออกได้


Thairath Money ชวนทำความรู้จัก “The 85% rule” หรือกฎ 85% เทคนิคการบริหารความพยายาม ให้เราทำงานเต็มประสิทธิภาพ แต่เหนื่อยน้อยลง

กฎ 85% คืออะไร ใช้ได้จริงไหม?


กฎ 85:15 มีแนวคิดมาจาก Carl Lewis อดีตนักกรีฑาชาวอเมริกัน ระดับตำนาน ผู้เป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 9 เหรียญ ซึ่งเชื่อว่าเทคนิคการวิ่งแบบใช้แรง 85% และเก็บแรงไว้ที่ตัวเอง 15% จะทำให้สามารถวิ่งได้เร็วและนานกว่าการวิ่งแบบใส่แรงเต็มร้อย จะเห็นได้จากเวลาแข่งวิ่ง แม้เขาจะออกตัวช้ากว่านักกรีฑาคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็มักถึงเส้นชัยก่อน เนื่องจากตลอดการวิ่งเขาปล่อยร่างกาย และจิตใจให้เป็นอิสระ แทนการแบกความกดดัน เร่งตัวเองให้วิ่งเข้าเส้นชัย สะท้อนว่าการใส่ความพยายามเต็มร้อยในทุกอย่างไม่ได้การันตีความสำเร็จ โดยแนวคิดนี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกนำไปปรับใช้กับการทำงาน หลังจากที่เขาคว้ารางวัล 9 เหรียญทอง ในการแข่งขันกรีฑาโอลิมปิก

ภายใต้วัฒนธรรมการทำงานแบบเก่า เรามักจะเคยชินกับการใช้แรงกดดันขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน ผู้ใหญ่มักปลูกฝังแนวคิดการทำงานถวายชีวิต ยิ่งทำมากยิ่งได้มากว่าเป็นกุญแจที่นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ผลการศึกษาล่าสุดของ University of London ยิ่งตอกย้ำแนวคิดของ Carl Lewis โดยพบว่า การทุ่มเทกับการทำงานมากเกินไป ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือเพิ่มรายได้ให้แก่ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม ยิ่งเราทุ่มเทแรงกายแรงใจ กดดันตัวเอง ทำงานล่วงเวลามากเท่าไร ก็มีแต่ทำให้ร่างกายและสมองไม่ได้พักระหว่างวัน เมื่อหนื่อยล้าสะสมนานวันเข้า ในที่สุดประสิทธิภาพการทำงานก็จะแย่ลงจนนำไปสู่ภาวะหมดไฟ

ยิ่งกดดัน “พนักงานเก่ง” ยิ่งลาออก


โดยทั่วไปแล้ว พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง (High performers) ทำผลงานได้ดี มักเป็นกลุ่มที่มีแรงจูงใจในการทำงานอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้วีธีเพิ่มแรงกดดันแบบเดียวกับพนักงานทั่วไป มีแต่จะทำให้หมดไฟ ผลการศึกษาของ Yale Center for Emotional Intelligence และ Faas Foundation ซึ่งทำการสำรวจพนักงานกว่า 1,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า 20% ของพนักงานกลุ่มนี้มีส่วนร่วมในงานสูง ในขณะเดียวกันก็มีภาวะหมดไฟสูงเช่นกัน และที่น่าตกใจคือพนักงานประสิทธิภาพสูงเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะลาออกสูงสุด 

สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ อาจสูญเสียพนักงานฝีมือดี ไม่ใช่เพราะมีส่วนร่วมในงานน้อย แต่เป็นเพราะความเครียดและภาวะหมดไฟในระดับสูงต่างหาก

วิธีทำงานดี แบบไม่ต้องทุ่มเต็ม 100% ห่างไกล Burn out

 

1.จัดลำดับความสำคัญงานว่างานไหนควรใช้ความพยายามเท่าไร ทุ่มเทไปแล้วได้อะไร ผลลัพธ์คุ้มค่าแค่ไหน เช่น เวลานำเสนองานเป็นทีม เราอาจไม่ต้องใส่ความพยายามไป 100% แค่ 70% ก็มีประสิทธิภาพแล้ว 


2.หาวิธีลดแรงกดดันในสถานการณ์จริง แน่นอนว่าการคิดง่ายกว่าการลงมือทำจริงเสมอ ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีตอบสนองต่อแรงกดดันที่ต่างกันไป สิ่งที่ต้องหาคำตอบให้ได้คือ เราจะหาวิธีผ่อนคลายตัวเองในสถานการณ์ท่ีน่ากดดันได้อย่างไร บางคนอาจทำสมาธิ ฝึกควบคุมการหายใจ หรือออกกำลังกายเบาๆ ก่อนเริ่มงาน


3.กำหนดเวลาการทำงานที่ชัดเจน ว่าเมื่อไรควรพอ เวลาไหนควรพัก ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับหัวหน้า หรือเจ้าของธุรกิจ การสนับสนุนให้พนักงานทำงานล่วงเวลา นอกจากไม่ได้งานที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงให้พนักงานก่อความผิดพลาด การแสดงความห่วงใยต่อพนักงานด้วยการกำหนดเวลา และขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน ช่วยให้พวกเขามีกำลังใจทำงานต่อได้


4.หาเวลาพัก เติมพลังกาย พลังใจระหว่างวัน ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุด ผลการศึกษาพบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง (High performers) มักจะหยุดพัก 8 ครั้งต่อวัน ด้วยโมเดล 555 ซึ่งเป็นการทำงานสลับกับพัก โดยตั้งใจทำงาน 55 นาที พัก 5 นาที โดยภายในห้านาทีนี้ห้ามคิดถึงเรื่องงาน ให้หาอะไรทำเพื่อผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง จิบกาแฟ หรือนั่งเฉยๆ ซึ่งการหยุดพักช่วงสั้นๆ จะให้ประสิทธิภาพการทำงานครั้งต่อไปดีขึ้น


5.เลิกประชุมก่อนเวลาจริง 10 นาที ผลการวิจัยของ Human Factors Lab โดย Microsoft พบว่า สมองของเราทำงานแตกต่างออกไป เมื่อเราพัก 10 นาทีระหว่างการประชุม การหยุดพักเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะช่วยลดความเครียดสะสม ในขณะที่การประชุมติดต่อกันแบบไม่พัก จะทำให้คนมีประสิทธิภาพในการรับรู้น้อยลง.

อ้างอิง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ