ณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ในวัย 38 ปี เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรตั้งแต่อายุ 33 ปี ด้วยพื้นฐานการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และปริญญาโทบริหารธุรกิจ ประกอบกับประสบการณ์ในแวดวงการเงินกว่า 5 ปี ก่อนจะเข้ามาบริหารบริษัทสัมมากรฯ ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้ว 55 ปี
"ผมอยู่ในบริษัทมาประมาณ 10 ปี โดยเริ่มจากการทำงานเบื้องหลัง ทั้งด้าน Business Development พื้นที่เช่า การตลาด จนมาถึงการบริหาร" ณพนเล่าถึงจุดเริ่มต้น
"ตอนเข้ามารับตำแหน่ง MD (กรรมการผู้จัดการ) มีความคาดหวังและความสงสัยค่อนข้างสูงว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ด้วยการสนับสนุนจากคณะกรรมการและทีมงานที่แข็งแกร่ง ทำให้บริษัทเดินหน้าได้อย่างมั่นคง"
ช่วงที่เข้ารับตำแหน่งเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ทันที แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ณพนได้วิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจดำเนินธุรกิจฝ่าวิกฤติมาได้
เขาบอกว่า ตอนนั้นติดตามข่าวต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าทุกคนต้องอยู่บ้าน เราคาดการณ์ว่าคนที่มีกำลังซื้อจะต้องการบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากขึ้น จึงตัดสินใจสร้างบ้านต่อ ซึ่งปรากฏว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะยอดขายไม่ตกและยังเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยาย segment ไปสู่ตลาดบ้านระดับ luxury มากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ราคา 3 ล้านบาทไปจนถึง 80 ล้านบาท
ณพนให้ความสำคัญกับการพัฒนาทีมงานและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง
"บริษัทเรามีพนักงานหลากหลาย Generation อายุเฉลี่ยประมาณ 30 กว่าปี เรายึดหลักความยืดหยุ่นและการทำความเข้าใจพนักงาน"
เขาเล่าจากประสบการณ์การเป็นผู้บริหารอายุน้อยกลับเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
"การที่คนอื่นอาจคิดว่าเรายังขาดประสบการณ์ ทำให้เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ผมชอบการบริหารเพราะทุกครั้งที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราสามารถนำมาปรับใช้กับองค์กรได้ทันที"
"แรงกดดันในการทำงานเป็นแรงผลักดันให้เราเก่งขึ้น งานหนักและงานยากต้องมีอยู่แล้ว เพราะถ้าเราทำแต่งานง่าย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะธรรมดา" ณพนกล่าว
ส่วนการนำหลักธรรมะมาประยุกต์ใช้ในการบริหารก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญ โดยณพนมองว่า การมีสติทำให้บริหารจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น และเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น ซึ่งช่วยในการบริหารคนได้มาก
สำหรับอนาคตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ณพนให้มุมมองไว้ว่า ที่อยู่อาศัยยังเป็นปัจจัยสำคัญ แต่รูปแบบจะเปลี่ยนไป การทำงานที่บ้านจะมีมากขึ้น คนต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ บริษัทสัมมากรมีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการในปี 2568 ซึ่งจะเป็นปีที่บริษัทมีอายุครบรอบ 55 ปี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างแท้จริง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย
ในฐานะคนขายบ้าน ที่จะเห็นสภาพเศรษฐกิจจริงไวก่อนเซกเตอร์อื่นๆ ณพนบอกว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับสูงมาหลายปี แต่สิ่งที่ท้าทายในปี 2567 ที่ผ่านมา คือดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ประกอบกับความไม่มั่นใจในรายได้อนาคตของผู้บริโภค เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ทำให้คนไม่กล้าที่จะมีภาระหนี้ก้อนใหญ่
เพราะโดยปกติตลาดบ้านเป็น real demand เมื่อคนแต่งงาน ขยายครอบครัว หรือมีสมาชิกเพิ่มขึ้น ก็ต้องซื้อบ้าน แม้จะมีข่าวไม่ดี ลูกค้าอาจเงียบไป 1-2 เดือน แต่มักจะกลับมาภายใน 2-3 เดือน แต่ปี 2567 แตกต่างออกไป เพราะ mood การซื้อไม่ดี ยกเว้นในกลุ่ม super luxury ที่ราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ในประเด็นการเปิดให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทย ณพนมองว่า สำหรับโครงการจัดสรร ควรอนุญาตให้ต่างชาติถือครองได้ในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมที่มีโควตาสำหรับชาวต่างชาติ แต่สำหรับที่ดินนอกโครงการ เขายังเห็นด้วยที่จะยังไม่เปิดให้ต่างชาติถือครอง
เพราะการเปิดให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือจะดึงดูดคนที่มีรายได้สูงเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อคนที่มีกำลังซื้อสูงกว่าเข้ามา ก็อาจทำให้คนไทยซื้อที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น
เป็นมุมมองความคิดของผู้บริหารวัยหนุ่มในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ต่อทิศทางธุรกิจและนโยบายระดับประเทศ
ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย้อนหลัง 5 ปี พบว่า บริษัทมีรายได้รวม ดังนี้
ปี 2563: 1,701.50 ล้านบาท
ปี 2564: 1,441.93 ล้านบาท ลดลง 15.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ปี 2565: 2,404.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ปี 2566: 2,003.74 ล้านบาท ลดลง 16.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ปี 2567 (9 เดือน): 1,213.32 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
ปี 2563: 40.55 ล้านบาท
ปี 2564: 42.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ปี 2565: 112.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ปี 2566: 34.70 ล้านบาท ลดลง 69.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ปี 2567 (9 เดือน) ขาดทุน 32.09 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney