ในยุคที่ตลาดหุ้นไทยขาดความเชื่อมั่นอย่างหนักจากการ “ทุจริต-ฉ้อโกง” ในบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นเคสของ MORE และ STARK สร้างความกังวลให้นักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา กดดันดัชนีหุ้นไทยตกต่ำ แล้วอะไรคือทางออก?
ในครั้งนี้ “Thairath Money” พาไปชวนคุยกับ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 19 พร้อมเปิดแผนฟื้นความเชื่อมั่นผู้ลงทุน และแนวทางการดึงธุรกิจครอบครัวใช้แพลตฟอร์มตลาดทุน ยกระดับเศรษฐกิจไทย
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ในอดีตที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ว่าในช่วง 2-3 ปีหลัง ตลาดหุ้นไทยมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น เพราะว่ามีการฉ้อฉล ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ MORE หรือ STARK ประกอบกับภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับการเข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 19 สิ่งแรกที่ต้องทำคือการฟื้นความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นก่อน ซึ่ง “ในฐานะนักกฎหมาย” มองว่าที่ผ่านมาปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นมาจากการบังคับใช้กฎหมายที่ล่าช้า และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นหน่วยงานแรก ถ้าเทียบกับการขับรถโดนใบสั่ง เราเป็นแค่เครื่องจับความเร็ว และส่งให้ ก.ล.ต. เพื่อออกใบสั่ง ถ้าเราส่งไปแล้ว ก.ล.ต. ไม่ออกใบสั่งก็ช้า ขณะเดียวกันถ้าออกใบสั่งไปแล้วไม่จ่ายตังค์ ก็ต้องไปฟ้องศาล อันนี้กระบวนการก็จะใช้เวลานาน”
ดังนั้น จะต้องสร้างความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (collaboration) ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตำรวจ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรม คือ ศาล เพื่อลดขั้นตอนและสามารถนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ต่อมาคือ เรื่องความเป็นธรรมในการซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนโยบายดูแลเรื่องของชอร์ตเซลและโปรแกรมเทรดดิ้ง อย่างการออกมาตรการ Uptick Rule ซึ่งทำให้การเก็งกำไรหุ้นลดน้อยลง เป็นมาตรการที่เราต้องการลดความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนไทย
และสุดท้ายคือ การเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ในตลาดทุน โดยกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประกาศการออกกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG และกองทุนวายุภักษ์ เพื่อจะทำให้ตลาดทุนไทย มีเงินที่จะมาลงทุนในหุ้นที่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ จะต้องส่งเสริมให้มีหุ้นที่ดีเข้ามาจดทะเบียนเพิ่มขึ้น หรือทำให้หุ้นที่มีอยู่ในตลาดสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมากขึ้น และเมื่อสร้างความเชื่อมั่นได้แล้ว ตลาดทุนไทยก็จะกลับมาอยู่ในสภาวะที่ดีขึ้น
นอกเหนือจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ แล้ว มองว่าจะต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย อย่างปัญหาที่เกิดจากการหลอกหลวง หรือการฉ้อโกงในตลาดทุน ทำอย่างไรให้ผู้เสียหายได้เงินคืนเร็วที่สุด จะยึดทรัพย์มาเฉลี่ยคืนให้ผู้เสียหายได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้กฎหมายยังไปไม่ถึง
อย่างมากวันนี้ยึดทรัพย์มาหรือจ่ายค่าปรับ รัฐบาลก็ริบไป เพราะฉะนั้น ต้องใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ถ้ากฎหมายไม่พอก็ต้องแก้กฎหมาย บังคับใช้ให้ดี และที่สำคัญคือการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายหลักทรัพย์ และกฎหมายเกี่ยวกับการเงินด้วย
สิ่งหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นคือบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง มีธุรกิจที่มีอนาคตดี เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับบริการ, โรงแรม, อาหาร, นิคมอุตสาหกรรม, ธุรกิจที่มีรายได้จากต่างประเทศ หรือธุรกิจที่มี ESG ที่ดี ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในปัจจุบัน ต่างมีรายได้ในไตรมาสแรกมากกว่าประมาณการ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางที่จะทำให้บริษัทเหล่านี้ สามารถเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงของมูลค่าบริษัทมากขึ้น หรือเกิด “Corporate Value Up” เชื่อว่านักลงทุนจะทำให้หันมาลงทุนมากขึ้น เพราะหลายธุรกิจมีโอกาสสูงมาก จากประเทศไทยอยู่ในยุทธภูมิที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี ด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และภาคการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว จะทำให้เศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น ซึ่งถ้านักลงทุนเลือกหุ้นที่สอดรับกับสิ่งเหล่านี้ ก็เชื่อว่าจะมีโอกาสที่ดีขึ้น
ประธานบอร์ด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันนักลงทุนไทย ไม่ได้วางแผนการลงทุนระยะยาวมากนัก และเน้นการซื้อขายหุ้นเก็งกำไร โดยฟังข่าวลือ หรือไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานอย่างรอบคอบ ซึ่งการซื้อขายระยะสั้นมีความอันตราย หากไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่อยากฝากถึงนักลงทุน คือ ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี และไม่เชื่อข้อมูลออนไลน์ที่ไม่ถูกต้อง หรือปรึกษาโบรกเกอร์มืออาชีพ
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนใช้เทคโนโลยี AI ช่วยการกำกับดูแล และสำรวจพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติ และใช้ AI ในการช่วยวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนที่ผิดปกติ และเพิ่มโอกาสให้บริษัทขนาดเล็ก มีข้อมูลให้นักลงทุนมีข้อมูลการตัดสินใจในการลงทุนมากขึ้น
“อันนี้สำคัญมาก เพราะผมไม่อยากเห็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเยอะๆ โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่มีพื้นฐานเลย แต่ราคาขึ้นสูงผิดปกติ แบบนี้อันตรายมากครับ”
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามสร้างองค์ความรู้เพื่อให้บริษัทที่อยู่นอกตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจครอบครัว ให้สามารถเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มากที่สุด
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นแพลตฟอร์ม หรือฐานข้อมูลที่ให้บริษัทเหล่านี้มาศึกษา เพราะฐานของธุรกิจครอบครัว ถือเป็นฐานลูกค้าของตลาดหลักทรัพย์ฯ จากปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนจำนวนกว่า 450 บริษัท ต่างมาจากธุรกิจครอบครัวทั้งสิ้น
ขณะที่สถิติในอดีต แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจครอบครัวจะดำเนินกิจการเกิน 3 รุ่นได้ยากมาก และบริษัทครอบครัวที่เกิน 100 ปีในประเทศไทย มีจำนวนน้อยมาก ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องการเพิ่มความรู้ด้านนี้ ให้กับผู้ประกอบการในประเทศไทย
นอกเหนือจากนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการจัดงานสัมนนาระดับโลกในธีม “Family Business in the Globalized Asia” ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญต่างๆ มาให้ความรู้เกี่ยวกับความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว สู่การสืบทอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งมองว่าเป็นหัวใจสำคัญที่เจ้าของธุรกิจครอบครัวควรให้ความสำคัญ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้