อนาคตทองคำไทย “แพงแล้วจะแพงอีก” เพดาน 43,500 บาท อาจเอาไม่อยู่ ลงได้แต่ไม่ลึก

Business & Marketing

Executive Interviews

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

อนาคตทองคำไทย “แพงแล้วจะแพงอีก” เพดาน 43,500 บาท อาจเอาไม่อยู่ ลงได้แต่ไม่ลึก

Date Time: 12 เม.ย. 2567 07:00 น.

Video

เปิดทริกวางแผนการเงิน เพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพ

Summary

  • ราคาทองคำไทยพุ่งขึ้นร้อนแรง ทะลุ 40,000 บาท ด้าน YLG ผู้ค้าทองรายใหญ่ คาดยังเป็นขาขึ้น ชี้เพดานราคาสูงสุดที่ 43,500 บาท นักลงทุนหน้าใหม่เพียบ คนรุ่นใหม่นิยมซื้อขายทองผ่านแอปพลิเคชัน

ราคาทองคำไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ทะลุ 40,000 บาท เป็นที่เรียบร้อย ด้าน บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้ค้าทองรายใหญ่ของไทย ประเมินทิศทางทองคำปีนี้ยังเป็นขาขึ้น พร้อมคาดเพดานราคาสูงสุดจะอยู่ที่ 43,500 บาท ชี้นักลงทุนหน้าใหม่เพียบ คนรุ่นใหม่นิยมซื้อขายทองผ่านแอปพลิเคชัน

ราคาทองคำ พุ่งทะลุทุกแนวต้าน


พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ปัจจุบันราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุทุกแนวต้านที่เคยคาดการณ์ไว้ จากเคยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 40,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งในระยะนี้ถือว่าราคาทองปรับตัวขึ้นมาไกลมาก ด้วยกระแสการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และผลตอบแทนของหลายสินทรัพย์ปรับตัวลดลง จึงทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นกระแสหลักที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง


ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางหลายแห่งก็มีความกังวลเรื่องการถือครองดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรอง จึงมีการลดสัดส่วนและเปลี่ยนมาถือครองทองคำแทน (De-Dollarization) เพื่อลดความเสี่ยง สะท้อนจาก 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางถือครองทองคำเพิ่มปีละกว่า 1,000 ตันต่อปี นำโดยประเทศจีนที่ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 17 เดือนติดต่อกัน ทำให้สัดส่วนทองคำในทุนสำรองปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 2-3% จากอดีตเพียง 1% ทั้งนี้เพื่อลดสัดส่วนดอลลาร์สหรัฐในเงินทุนสำรองที่อยู่ในระดับ 50%


ดังนั้นทำให้ปัจจุบันความต้องการซื้อ (demand) ทองคำ มีมากกว่าปริมาณทองคำที่ขุดได้ต่อปี (supply) จากทองคำทั่วโลกสามารถขุดได้ราว 3,000 ตันต่อปี ซึ่งทองคำที่อยู่ในตลาดมองว่าเป็นการหมุนเวียนจากทองคำที่มีอยู่เดิมเท่านั้น


“นั่นเป็นปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคาทองคำ ทำให้แม้ช่วงเวลาหนึ่งมีกระแสลบกับทอง ก็ปรับตัวลงไม่ลึก จึงมองเป็นจังหวะของนักลงทุนในการเข้าทยอยสะสม และขายออกทำกำไร จนกว่ากระแส De-Dollarization ของธนาคารกลางจะหายไป” พวรรณ์ กล่าว

ทองคำยังเป็นขาขึ้น แต่อาจชนเพดาน 43,500 บาท!


พวรรณ์ ชี้ว่า ภาพรวมราคาทองคำในปีนี้เชื่อว่ายังเป็นขาขึ้น แต่การปรับตัวตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ขึ้นมาแล้วกว่า 7,000-8,000 บาท เพราะฉะนั้นมองว่าทองคำอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และอาจมีการสลับย่อตัวได้


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงกว่าแนวต้านที่เคยคาดการณ์แล้วนั้น ทำให้มองว่าเพดานของราคาสูงสุดจะอยู่ที่ 43,500 บาท แต่หากเงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นราคาทองคำสูงมากกว่านี้ ส่วนแนวรับมองว่าอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 40,000 บาท หากนักลงทุนต้องการเข้าซื้อ ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ หากมีการย่อตัวลงมา แต่ไม่ควรต่ำกว่า 37,000 บาท


โดยปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาทองคำในปี 2567 นี้ คือนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งนักลงทุนต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด พร้อมติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น การจ้างงาน, อัตราเงินเฟ้อ


นอกจากนี้ยังต้องติดตามกระแสข่าวต่างๆ จากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และวิกฤติทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยถัดไปที่ทำให้นักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หรือ “Safe Haven” มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง และป้องกันความมั่งคั่งของตน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 8-10% 


นักลงทุนรุ่นใหม่ เปิดบัญชีซื้อทองผ่านแอปฯ พุ่ง


ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่นิยมซื้อขายทองผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น โดย YLG ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ในการให้บริการซื้อขายทองคำบนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” พบว่าตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่ ในช่วงอายุ 20-30 ปี ซึ่งมีความคุ้นเคยกับการลงทุนผ่านแอปพลิเคชันอย่างมาก ถือเป็นการเปิดตลาดนักลงทุนกลุ่มใหม่ๆ จากฐานลูกค้าเดิมที่อยู่ในช่วงอายุ 40-80 ปี ทั้งนี้พบว่ามีนักลงทุนหน้าใหม่เปิดบัญชีซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประมาณวันละ 150-250 คน ในช่วงที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น


ส่วนการซื้อขายทองคำผ่านหน้าร้านทองในปัจจุบัน พบว่ายังมีความคึกคัก โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังเข้ามาซื้อในสัดส่วนที่สูงกว่าลูกค้าที่นำทองมาขาย จากเชื่อว่าราคาทองคำจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ และการถือทองคำจริง (physical gold) ที่สามารถจับต้องได้ ยังมีความสบายใจกว่า.

อ่านข่าวการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์