นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในครั้งนี้กลุ่มเซ็นทรัล และ PIF มุ่งหวังที่จะเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน รวมถึงการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มต่อไปในอนาคต ขณะที่ Turqi Al-Nowaiser รองผู้ว่าการและหัวหน้าฝ่ายการลงทุนระหว่างประเทศของ PIF กล่าวว่า Selfridges Group จะสามารถรักษาตำแหน่งของตนเองในตลาดต่อไปในฐานะกำลังสำคัญในธุรกิจห้างหรูชั้นนำของยุโรป
การควบรวมกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Signa Group กลุ่มทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกรายใหญ่จากออสเตรียยื่นขอล้มละลายหลังจากเผชิญปัญหาด้านหนี้สินอย่างหนัก
รายงานระบุว่า PIF ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของ Signa ใน Selfridges Group และถือหุ้นอยู่แล้วก่อนหน้านี้ 10% ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลได้เริ่มลงทุนใน Selfridges Group ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อผลักดันการเติบโตของห้างเซลฟริดเจสมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สัดส่วนการถือหุ้น กลุ่มเซ็นทรัลในฐานะเจ้าของร่วมจะถือหุ้นในสัดส่วน 60% โดย PIF จะถือในส่วนที่เหลือรวมเป็นสัดส่วน 40%
ปัจจุบัน Selfridges Group ดำเนินธุรกิจห้างสรรพสินค้าจำนวนทั้งสิ้น 4 แบรนด์ จำนวน 18 แห่งใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย ห้างเซลฟริดเจส (Selfridges) ในสหราชอาณาจักร ห้างดีไบเจนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมถึงห้างบราวน์โทมัส (Brown Thomas) และห้างอาร์น็อตส์ (Arnotts) ในประเทศไอร์แลนด์
ทั้งนี้นับตั้งแต่การขยายการลงทุนธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปครั้งแรกเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัล มีการดำเนินธุรกิจอยู่ใน 7 ประเทศ 36 เมือง 40 สาขา โดยกลุ่มเซ็นทรัลเริ่มต้นลงทุนธุรกิจห้างในยุโรปจากประเทศอิตาลี โดยให้เซ็นทรัลรีเทล (CRC) เข้าซื้อกิจการห้างรีนาเซนเต (Rinascente) จำนวน 9 สาขา ถือหุ้น 100%
นอกจากนี้การลงทุนมีตั้งแต่ซื้อกิจการ 100% หรือร่วมทุนกับพันธมิตร ได้แก่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ห้างโกลบุส (Globus) 9 สาขา, เดนมาร์ก ห้างอิลลุม (Illum) 1 สาขา, อังกฤษ เซลฟริดเจส (Selfridges) 4 สาขา, ไอร์แลนด์ ห้างอาร์น็อตส์ (Arnotts) 1 สาขา และบราวน์ โทมัส (Brown Thomas) 6 สาขา, เนเธอร์แลนด์ ห้างดีไบเจนคอร์ฟ (De Bijenkorf) 7 สาขา, เยอรมนี ห้างคาเดเว (KaDeWe) โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) และอัลสแตร์เฮาส์ (Alsterhaus) แห่งละ 1 สาขา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ที่มาข้อมูล Bloomberg , Financial Times