เส้นทาง 103 ปี แบรนด์หรูทรงอิทธิพล จากอานม้าสู่แฟชั่นระดับโลก เบื้องหลังงานดีไซน์ต้นฉบับ Gucci

Business & Marketing

Corporates

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เส้นทาง 103 ปี แบรนด์หรูทรงอิทธิพล จากอานม้าสู่แฟชั่นระดับโลก เบื้องหลังงานดีไซน์ต้นฉบับ Gucci

Date Time: 7 ก.ค. 2567 20:53 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • Thairath Money คอลัมน์ BrandStory ครั้งนี้ หยิบยกเรื่องราวเบื้องหลังชิ้นงานสุดไอคอนิกที่ทำให้ความสง่างามแบบ ‘Gucci’ เติบโตกลายเป็นแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลีที่ทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่น ผ่านการจัดแสดง “Gucci Visions An immersive exhibition into the world of GUCCI” นิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวตลอดระยะเวลา 103 ปี ที่รวบรวมเอาชิ้นงานออกแบบและคอลเลกชันในตำนาน ตั้งแต่ปี 1921 มาจัดแสดงเพื่อนำเสนอเอกลักษณ์ของ Gucci ที่สง่างามเหนือกาลเวลา

Latest


แม้จะผ่านบทพิสูจน์มากมายที่ทำให้ Gucci แบรนด์หรูระดับโลก ขึ้นสู่จุดสูงสุดและโรยราสู่จุดต่ำสุด วิกฤติสงคราม ความรัก ความขัดแย้งในครอบครัวที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม การเผชิญหน้ากับความนิยมที่ถดถอย ตลอดจนการเสี่ยงล้มละลาย 

ทว่า Gucci ยังคงก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้เป็นเวลากว่าหนึ่งศตรวรรษ จากวิสัยทัศน์ของเด็กหนุ่มช่างสงสัยสู่ดีเอ็นเอหลักของ Gucci การสร้างสรรค์ความเรียบหรูมีชีวิตชีวาของเหล่าครีเอทีฟไดเรกเตอร์ที่ทำให้ Gucci สร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นแท่นแบรนด์ลักชัวรี่อิตาลีที่มีมูลค่าสูงสุด ครองสถานะตัวท็อปแบรนด์หรูยอดนิยมอันเป็นที่รักของผู้คนยุคต่อยุค โดยมูลค่าแบรนด์ล่าสุดในปี 2023 อยู่ที่ 18,100 ล้านเหรียญหรือราว 6 แสนล้านบาท 

Thairath Money คอลัมน์ BrandStory ครั้งนี้ หยิบยกเรื่องราวเบื้องหลังชิ้นงานสุดไอคอนิกที่ทำให้ความสง่างามแบบ ‘Gucci’ เติบโตกลายเป็นแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลีที่ทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่น ผ่านการจัดแสดง “Gucci Visions An immersive exhibition into the world of GUCCI” นิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวตลอดระยะเวลา 103 ปี ที่รวบรวมเอาชิ้นงานออกแบบและคอลเลกชั่นในตำนาน ตั้งแต่ปี 1921 มาจัดแสดงเพื่อนำเสนอเอกลักษณ์ของ Gucci ที่สง่างามเหนือกาลเวลา 

The Savoy จุดเริ่มต้นจิตวิญญาณ Gucci 

Guccio Gucci ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Gucci ชายหนุ่มชาวอิตาลีผู้เติบโตในครอบครัวเครื่องหนัง แรงขับเคลื่อนในวัยเยาว์ของเขานำไปสู่การตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านในปี 1897 สู่กรุงลอนดอนเพื่อค้นหาเส้นทางของตัวเอง ขณะนั้นเขาทำงานทุกอย่างที่พอจะหาได้เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเอง ตั้งแต่เด็กล้างจาน เด็กยกของ กระทั่งการเป็นพนักงานยกกระเป๋า ณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า The Savoy ที่ที่ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล 

การเป็นพนักงานยกกระเป๋าที่ The Savoy ทำให้เขาซึมซับวิถีชีวิต ความคิดความอ่าน รสนิยมอันประณีตเรียบหรูของบรรดาขุนนาง องครักษ์ ชนชั้นสูงที่เข้าพักที่โรงแรม Guccio Gucci ได้สัมผัสเครื่องหนังที่มาจากสารทิศทั่วโลก จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองฟลอเรนซ์พร้อมกับความฝันในการเปิดร้านของตนเอง  

ช่วงแรก Guccio Gucci ไปทำงานกับ Franzi เจ้าของบริษัทผลิตกระเป๋าเดินทางเก่าแก่สัญชาติอิตาลีแบรนด์ Tony เพื่อเรียนรู้งานจนชำนาญก่อนที่จะออกมาเปิดกิจการของตนเอง กระทั่งปี 1921 บูติกแห่งแรกของ Gucci ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการในย่าน Via della Vigna Nuova โดยมีสินค้าขึ้นชื่อเป็นกระเป๋าเดินทางสไตล์อังกฤษ

1920-1930 วิกฤติสงครามบีบคั้นการรังสรรค์ภาพจำแบรนด์

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พิษสงครามกระจายทั่วยุโรป โดยอิตาลีที่ถูกจำกัดการนำเข้าส่งออกสินค้า โดยเฉพาะเครื่องหนัง สภาวะขาดแคลนวัสดุในยุคนั้นทำให้ Gucci ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ มุ่งออกแบบสินค้าที่ใช้วัสดุอื่นๆ มาทดแทนวัสดุหนัง ไม่ว่าจะเป็น หนังนกกระจอกเทศ หนังจระเข้ หนังม้า หนังหมู และวัสดุท้องถิ่นอย่างผ้าป่าน ผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชง

ช่วงเวลาลำบากในครั้งนั้นเป็นจุดที่ทำให้ Gucci ขยายขอบเขตการผลิตไปสู่สินค้าชนิดอื่นๆ พร้อมด้วยวัสดุที่หลากหลาย และยังให้กำเนิดลวดลายที่เป็นภาพจำสุดไอคอนิกของแบรนด์อย่าง ‘ลวดลาย Diamante’ ลายปักรูปทรงเพชรเล็กๆ ลายแรกที่ถูกปักอย่างประณีตลงบนผืนกระเป๋าเดินทางซึ่งทำผ้าใยกัญชง ความตั้งใจในการสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ ทำให้กระเป๋าเดินทางรุ่นดังกล่าวได้รับความนิยมและกลายเป็นสินค้าประจำแบรนด์   

ห้อง Travel นำเสนอ “กระเป๋าเดินทางตามแบบฉบับอังกฤษ” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากมุมมองของ Guccio Gucci ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการเดินทางสู่กรุงลอนดอนกว่าสองทศวรรษก่อนหน้าการถือกำเนิดของแบรนด์
ห้อง Travel นำเสนอ “กระเป๋าเดินทางตามแบบฉบับอังกฤษ” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากมุมมองของ Guccio Gucci ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการเดินทางสู่กรุงลอนดอนกว่าสองทศวรรษก่อนหน้าการถือกำเนิดของแบรนด์

ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นต้นแบบของลายอื่นๆ อย่าง ‘GG Monogram’ หรือ ‘Guccissima’ หรือลวดลาย โลโก้ Double-G หรือตัว G ไขว้กัน ซึ่งริเริ่มในปี 1960 โดย Aldo Gucci ลูกชายที่เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจ หลัง Guccio Gucci เสียชีวิตในปี 1953 โดยนำตัวอักษรแรกของชื่อและนามสกุลของพ่อมาใช้เพื่อระลึกถึงจุดเริ่มต้นแบรนด์ โดย Double-G ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ Gucci ที่นำมาใช้ทั้งลวดลาย ตะขอ ดีเทลอื่นๆ จนถึงปัจจุบัน  

หนึ่งในสิ่งที่ถูกนำมาทดแทนและกลายเป็นตำนานของ Gucci นั่นก็คือ การนำ ‘ไม้ไผ่ญี่ปุ่น’ (Japanese Bamboo) มาทำเป็นที่จับกระเป๋า โดยการเลือกเอาวัสดุที่มีความโดดเด่นพิเศษนี้มาใช้ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Vasco Gucci ลูกชายคนที่ห้าของ Guccio Gucci ผู้มีความชื่นชอบในตัวไม้เท้า หลังจากผ่านการทดลองสร้างสรรค์หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดวัสดุไม้ไผ่ก็ขึ้นรูปเป็นที่จับของกระเป๋ารูปทรงอานม้า ด้วยเทคนิคการดัดขึ้นรูปไม้ไผ่ด้วยเปลวไฟถือกำเนิดกระเป๋าในตำนานอย่าง ‘Gucci Bamboo Bag 1947’ ที่มีความโดดเด่นของหูจับไม้ไผ่อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของ Gucci โดยเทคนิคขึ้นรูปดังกล่าวก็ได้กลายเป็นความชำนาญเฉพาะที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นในเรื่องความเชี่ยวชาญด้านงานช่างฝีมือของ Gucc

ห้อง Bamboo นำเสนอกระเป๋าถือ Gucci Bamboo 1947 ถือเป็นแบบอย่างของการไม่ยึดติดกับวิถีเดิมๆ ในงานช่างฝีมือของ Gucci ตอกย้ำจุดยืนของการเป็นผู้นำในด้านงานช่างฝีมืออันประณีตและหรูหรา
ห้อง Bamboo นำเสนอกระเป๋าถือ Gucci Bamboo 1947 ถือเป็นแบบอย่างของการไม่ยึดติดกับวิถีเดิมๆ ในงานช่างฝีมือของ Gucci ตอกย้ำจุดยืนของการเป็นผู้นำในด้านงานช่างฝีมืออันประณีตและหรูหรา

ความผูกผันกับ The Savoy พร้อมกับรสนิยมอันเฉียบขาดของเขา ทำให้แนวทางในการผลิตสินค้าของแบรนด์ Gucci หนักแน่นเรื่องความประณีต หรูหราสไตล์อังกฤษ อีกทั้งทันสมัยกว่าใคร ไม่นานชื่อเสียง Gucci ก็เริ่มแพร่หลายและได้รับการตอบรับจากบรรดาเหล่าขุนนางในยุโรป เรียกได้ว่าเพื่อเจาะตลาดชนชั้นสูง เขา คือ ผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าการจะเข้าถึงตลาดนี้ได้ต้องทำอะไร 

นอกจากนี้การเฝ้าดูกลุ่มลูกค้าของตนยังทำให้ Guccio Gucci รู้ดีว่ากิจกรรมยามว่างที่ลูกค้าชนชั้นสูงส่วนใหญ่หมกหมุ่นและโปรดปรานนั่นก็คือ ‘การขี่ม้า’ ทำให้เขาทุ่มไปที่อุปกรณ์สำหรับการขี่ม้า เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าตนเอง ต่อเนื่องมาจนถึงการหยิบเอา เรื่องราวการขี่ม้า สัญลักษณ์ อุปกรณ์ มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบรูปทรงกระเป๋า ตะขอ ดีเทลกระเป๋า ซึ่งก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์งานดีไซน์ของ Gucci ในเวลาต่อมา 

หนึ่งในชิ้นงานที่สะท้อนตัวตนได้ดีที่สุด ‘Horsebit Loafer 1953’ รองเท้ารุ่นแรกของแบรนด์ Gucci ผลงานอันโดดเด่นของ Aldo Gucci ลูกชายคนที่สอง โดยมีความโดดเด่นอยู่ตรงที่ห่วงประดับตกแต่งบนรองเท้า รูปทรงวงแหวนที่คล้องเชื่อมกันไว้ด้วยแท่งบาร์ คล้ายกับห่วงรัดปากม้า (Horsebit) ซึ่งต่อมา Horsebit ก็ได้นำมาใช้กับกระเป๋าหรือที่เราคุ้นเคยในรุ่น ‘Horsebit Bag 1955’ อีกทั้งทุกวันนี้แบรนด์ก็ยังปรับดีไซน์ Horsebit หลากหลายแบบในแต่ละคอลเลกชัน โดยยังคงกลิ่นอายเดิมไว้อย่างหนักแน่น โดย Horsebit Loafer ยังคงขึ้นแท่นรองเท้าโลฟเฟอร์คลาสสิกที่เป็นภาพจำของแบรนด์ กลายเป็นไอเทมฮิตของผู้ชายตั้งแต่อดีตที่นถึงปัจจุบัน 

นอกจากนี้อีกหนึ่งเอกลักษณ์โดดเด่นที่ไม่ว่าใครเห็นก็บอกได้ทันทีว่านี่คือ Gucci นั่นก็คือ 'Web' หรือลายเส้น Stripe ‘แถบสีเขียวแดงเขียว’ ซึ่งปรากฏอยู่ในหลายๆ ที่ของแบรนด์ มีที่มาจาก สายรัดรอบเอวที่ใช้บนอานม้า (Horse Saddles) ที่ Gucci ผลิตในช่วงแรก ปัจจุบัน Web ถูกนำมาทำเป็นสายสะพายกระเป๋าไปจนถึงดีเทลที่ปรากฏในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ 

อีกหนึ่งเอกลักษณ์สุดไอคอนิกของ Gucci นั่นก็คือ ‘ลวดลาย The Flora Print’ ลวดลายงดงามของดอกไม้นานาชนิดที่ล้อมรอบไปด้วยมวลแมลงบนผืนผ้าไหมสีขาว ซึ่งปรากฏครั้งแรกบนผ้าพันคอ Gucci Scarf ที่ออกแบบโดยศิลปิน Vittorio Accornero สำหรับมอบเป็นของขวัญให้เจ้าหญิง Grace Kelly แห่งโมนาโกขณะเยือนอิตาลีในปี 1966 นอกเหนือจาก Double-G แล้ว Flora กลายเป็นอีกลวดลายยอดนิยมที่ถูกนำมาใช้กับสินค้าในปัจจุบัน ทั้ง เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ ตลอดจนเครื่องสำอาง และขวดน้ำหอม

ภายหลัง Guccio Gucci เสียชีวิต ลูกชาย Rodolfo และ Aldo Gucci เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจและมีบทบาทสำคัญในการทำการตลาด และขยายสาขาไปที่โรมและต่างประเทศในปี 1953 Gucci บุกมหานครนิวยอร์กครั้งแรก นับเป็นร้านเครื่องหนังระดับสูงสัญชาติอิตาลีร้านแรกที่เปิดในสหรัฐอเมริกา

โดยวันที่เปิดร้านวันแรกยังได้รับเกียรติจากอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา John F. Kennedy มาร่วมเปิดงานในฐานะแอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์อิตาลีเป็นคนแรกอีกด้วย มากไปกว่านั้นภรรยาสายแฟของเขา Jacqueline Kennedy อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้ชื่นชมและนักสะสมตัวยงเช่นเดียวกัน เธอมักจะไปไหนมาไหนกับกระเป๋าคู่ใจในรุ่น Gucci Constance Bag กระเป๋ารูปทรงพระจันทร์เสี้ยวที่โดดเด่ด้วยตัวล็อกที่ปิดกระเป๋ารูปทรงคล้ายลูกสูบ ที่กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานอมตะ โดยแบรนด์ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น ‘Gucci Jackie Bag’ ในปี 1961 เพื่อเป็นเกียรติกับเธอนั่นเอง 

ยุค 1970 เป็นต้นมา Gucci ก้าวสู่วงการแฟชั่นแถวหน้า ได้รับความนิยมทั้งในแง่ของยอดขายที่แข็งแกร่งและความนิยมที่ล้นหลามจากราชวงศ์ เซเลป ดาราฮอลลีวูด สินค้าของ Gucci เริ่มปรากฏในภาพยนตร์ชื่อดัง จนเรียกได้ว่า Double-G กลายเป็นสัญลักษณ์ติดตัวคนดังทั่วโลก Gucci กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นในฝันของใครหลายคน

แม้กระนั้นเรื่องราวการจัดสรรส่วนแบ่งทางธุรกิจภายในครอบครัวกลับทำให้แบรนด์ Gucci เข้าสู่ช่วงขาลงเกือบจะล้มละลาย ความไม่ลงรอยในผลประโยชน์ของรุ่นลูกต่อเนื่องสู่รุ่นหลานนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นจนสุดท้ายเรื่องราวบาดหมางภายในตระกูล Gucci ก็ปิดฉากลง พร้อมกับการสูญเสียความสัมพันธ์ของครอบครัวและสถานะทางธุรกิจที่มีต่อแบรนด์ 

1990 Gucci ยุคใหม่กับการสร้างแรงสั่นสะเทือนในโลกแฟชั่น 

ในระหว่างนั้นเหล่าดีไซเนอร์ของ Gucci ที่ยังคงต้องพยุงแบรนด์ต่อไป นำโดย Dawn Mello เจ้าของ Bergdorf Goodman ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนแรกของ Gucci ที่เข้ามาทำงานให้กับ Gucci ในปี 1990 พร้อมกับด้วย Tom Ford ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันที่เธอชักชวนมาสมทบทีมเพื่อออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้าผู้หญิงในขณะนั้นได้กลายเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 

จากนั้น Tom Ford ได้รับแต่งตั้งให้เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ในปี 1994 พร้อมด้วยการนำเสนคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วงปี 1996 ที่เรียกได้ว่าทำให้ Gucci ฟื้นคืนชีพอีกครั้งภายในไม่กี่เดือน Tom Ford เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Gucci ใหม่ให้น่าดึงดูดใจมากขึ้น ผ่านการตีความแนวคิดเรื่องเพศ ความมั่นใจ และสไตล์อันเซ็กซี่เย้ายวนในแบบฉบับของเขาจนทำให้ Gucci กลับสู่ความนิยมของสาธารณชนอีกครั้งในภาพจำใหม่ ทำกำไรให้ Gucci มหาศาลและทำให้ Gucci กลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง 

กระทั่งปี 1995 Gucci เข้าเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์และเริ่มเป็นที่หมายปองของบเครือบริษัทใหญ่ที่ต้องเข้าครอบครอง Gucci ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ คือ สองยักษ์ใหญ่ผู้ถือครองแบรนด์หรู  LVMH และ PPR (Pinault-Printemps-Redoute) ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Kering กลุ่มธุรกิจแบรนด์ลักชัวรี่ระดับโลกที่เข้าบริหารงานในแบรนด์แฟชั่น เครื่องหนัง จิวเวลรี่ และแบรนด์แว่นตาที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก อย่างไรก็ตามในปี 1999 PPR ก็ได้เข้าซื้อหุ้น 42% คิดเป็นมูลค่าราว 3 พันล้านเหรียญในขณะนั้น ของ Gucci และยังคงเป็นบริษัทแม่ของ Gucci จนถึงปัจจุบัน 

ห้อง Fashion จัดแสดงลุคต่างๆ ในแต่ละทศวรรษที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน โดยหยิบยกมาจากผลงานเก็บสะสมที่ผ่านมาของแบรนด์จาก Gucci Archive ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ปราสาท Palazzo Settimanni ในเมืองฟลอเรนซ์
ห้อง Fashion จัดแสดงลุคต่างๆ ในแต่ละทศวรรษที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน โดยหยิบยกมาจากผลงานเก็บสะสมที่ผ่านมาของแบรนด์จาก Gucci Archive ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ปราสาท Palazzo Settimanni ในเมืองฟลอเรนซ์

ปัจจุบัน Gucci ยังคงสร้างบทสนทนาใหม่ๆ ในโลกแฟชั่นอย่างไม่รู้จบผ่านฝีมือการรังสรรค์ของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ที่เข้ามาต่อยอดเอกลักษณ์แบรนด์ผ่านผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้ง Frida giannini จาก Fendi ในปี 2014 และ Alessandro Michele ในปี 2015 ที่ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ Gucci ชั่วข้ามคืนอีกครั้งกับแนวคิดแปลกใหม่และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งความเป็นสตรีท ความกบฏ นอกขนบแฟชั่นแบบเดิม ไปจนถึงการหยิบเรื่องกฎเกณฑ์สังคมอย่างเรื่องเพศมานำเสนอ กลายเป็นลูกเล่นและความสนุกสนานใหม่ที่ผสมผสานไปกับมรดกความหรูหราของ Gucci ความสำเร็จในการสร้างความมีชีวิตชีวาของเขา ดึงดูดผู้ชื่นชอบแฟชั่นรุ่นใหม่ๆ เข้ากับแบรนด์ และยังทำให้ Gucci มียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2017

การกลับมาของ Gucci Ancora

จะเห็นว่า Gucci ยังคงเติบโตเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่ทั่วโลกยอมรับ ภายใต้การดูแลของครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนล่าสุดในปี 2023 Sabato de Sarno ดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียนที่เคยร่วมงานกับ Valentino, Dolce & Gabbana และ Prada ผู้ถูกทาบทามให้เข้ามากุมบังเหียน Gucci ดูแลคอลเลกชันสำหรับผู้หญิง ผู้ชาย เครื่องหนัง เครื่องประดับ รวมถึงไลฟ์สไตล์ ด้วยสไตล์ Down to Earth ของเขาว่ากันว่าเขาจะเป็นผู้สร้างภาพจำสดใหม่ให้กับ Gucci ที่เรียบโก้เคล้าไปกับยุคสมัยอีกครั้ง 

โดย Gucci Ancora คอลเลกชันเดบิวต์และเปิดศักราชใหม่ของ Gucci ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอีกครั้งของเขากับการนำเฉดสีแดงก่ำ Ancora Red มาใช้เป็นเมสเสจหลัก โดยเฉดสีแดงที่เราเห็น คือ สีของผนังภายในลิฟต์ของโรงแรม The Savoy ที่ Guccio Gucci ทำงานเป็นเด็กยกกระเป๋า สถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างนั่นเอง 

'Ancora' ในภาษาอิตาเลียนหมายถึง ความปรารถนา เปรียบเหมือนได้หวนคืนสุนทรียะเดิมของ Gucci กลับมาอีกครั้ง บอกได้เลยว่า ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนของ Gucci ก็จะเห็นสีแดง Ancora อยู่ทั่วทุกมุม กลายเป็นเฉดสีแดงเฉพาะของ Gucci ที่สะกดทุกสายตาในขณะนี้ 

สำหรับนิทรรศการในครั้งนี้นิทรรศการ Gucci Visions จัดขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งที่สาม ณ EM GLASS บริเวณชั้น G อาคาร EM TOWER ภายในงานนิทรรศการประกอบไปด้วยห้องทั้งหมด 6 ห้อง ที่แบ่งตามธีมเรื่องราว นำเสนอแง่มุมที่หลากหลายของเรื่องราวอันเปี่ยมเอกลักษณ์ของแบรนด์ Gucci ที่ไล่เรียงไปตามลำดับเวลาด้วยผลงานภาพวาด บอกเล่าจากบันทึกที่รวบรวมทั้งวันสำคัญ เหตุการณ์ต่างๆ และเหล่าดารา นักแสดงที่มีบทบาทต่อแบรนด์ โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน ไปจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 นี้ 

ห้อง Icons เป็นการระลึกถึง กระเป๋าถือ Bamboo 1947, Horsebit 1955 และ Jackie 1961 ซึ่งถือเป็นตัวแทนของงานออกแบบสุดไอคอนิกของ Gucci
ห้อง Icons เป็นการระลึกถึง กระเป๋าถือ Bamboo 1947, Horsebit 1955 และ Jackie 1961 ซึ่งถือเป็นตัวแทนของงานออกแบบสุดไอคอนิกของ Gucci


 

อ้างอิง Gucci 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney 

  


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ