ดูเหมือนว่าปัจจุบันการสัญจรเดินทางของผู้คนทั่วทั้งโลกจะกลับมาสู่จังหวะที่ปกติอีกครั้ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถูกจับตามอง รวมถึงธุรกิจโรงแรมและที่พัก ที่เรียกได้ว่าผู้ให้บริการในขณะนี้คือ ผู้อยู่รอด หลังคลื่นโควิดกวาดผู้เข้าพักหายไปเป็นเวลาสองปีเต็มๆ
โดยเฉพาะบรรดาเชนโรงแรมรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงระดับโลกกลับมามีบทบาทครึกครื้นเป็นพิเศษทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราเองเช่นเดียวกัน ซึ่งหากกล่าวถึงอีกหนึ่งเจ้าใหญ่ในบ้านเราอย่าง IHG Hotels & Resorts (InterContinental Hotels Group) ที่มีหลายแบรนด์ในเครือเข้ามาเปิดให้บริการในไทย และสร้างมูลค่าด้านการท่องเที่ยว และเม็ดเงินมหาศาล
หนึ่งในเชนโรงแรมที่รุ่มรวยเรื่องราวเป็นอย่างมากแบรนด์หนึ่ง แถมยังมีความสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ IHG ถึง 70% ของอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของ IHG นั่นก็คือ “ฮอลิเดย์ อินน์” (Holiday Inn) ตัวเลือกชั้นนำที่ผู้เข้าพักทั่วโลกไว้ใจ รวมถึงเจ้าของโรงแรมในทุกพื้นที่
ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1950 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาอันรุ่งเรืองและเริ่มต้นใหม่ของหลายเมืองทั่วโลกหลังจากฟื้นตัวพิษเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ตลอดจนสงคราม เที่ยวบินเชิงพาณิชย์ผุดจำนวนมาก การเดินทางของผู้คนก้าวสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยุคใหม่
จุดเริ่มต้นในฤดูร้อนปี 1951 เคมมอน์ส วิลสัน (Kemmons Wilson) นักธุรกิจชาวเทนเนสซีที่กำลังพาภรรยาและลูกอีก 5 คน ออกเดินทางสู่วอชิงตัน ดี.ซี. ทว่าการหาที่พักดีๆ ระหว่างทางให้กับครอบครัวเพื่อพักผ่อนค้างคืนในสหรัฐอเมริกาสมัยนั้นไม่ง่ายและสะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ วิลสัน ผิดหวังกับการเข้าพักที่โมเทลแห่งหนึ่ง เขาต้องรับมือกับห้องพักราคาสูง แต่กลับมีคุณภาพที่ไม่สมราคา สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นเมื่อสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบครัน ก็อาจทำให้ทริปดีๆ เสียบรรยากาศได้
ประสบการณ์ไม่ดีจากทริปนี้ได้จุดประกายไอเดียที่ว่า จะเป็นอย่างไรหากมีโมเทลท่ีเรียบง่าย เป็นมิตรกับครอบครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ รอนักเดินทางบนถนนทุกสายในสหรัฐฯ
ปี 1952 วิลสัน ตัดสินใจสานฝันไอเดียในการยกระดับโรดทริปในฝันเพื่อนักสัญจร โรงแรมแห่งแรกถูกสร้างขึ้นในย่านซัมเมอร์อเวนิว ริมถนนเส้นเลือดหลักที่มุ่งตรงสู่แนชวิลล์ เมืองหลวงแห่งรัฐเทนเนซซี โดยชื่อ “Holiday Inn" ถูกนำมาใช้เพราะไอเดียของสถาปนิกผู้ออกแบบโรงแรมที่อ้างอิงตาม ‘Holiday Inn’ ชื่อภาพยนตร์มิวสิคัลยอดนิยมในปี 1942
แก่นหลักของการดูแลฟูมฟักธุรกิจโรงแรมของวิลสันตั้งแต่ 70 กว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ได้หรูหราอะไรมาก Holiday Inn ลบภาพแร้นแค้นของที่พักริมทางบนถนนทางหลวงระหว่างรัฐ พลิกโฉมโรงแรมริมทางด้วยการเติมเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ที่นักเดินทางต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสายลุยเดี่ยว หรือมาเป็นครอบครัว วิลสัน ทำให้ทุกอย่างได้มาตรฐานในราคาห้องพักที่สมเหตุสมผล พร้อมด้วยคุณภาพที่สม่ำเสมอ ภายใต้ราคาที่ย่อมเยา
นอกจากนี้ การนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างๆ ของวิลลัน ไม่พบในโรงแรม หรือโมเทลที่อื่นๆ มาก่อน เช่น ห้องสแตนดาร์ดขนาดใหญ่พร้อมโทรทัศน์ เครื่องทำน้ำแข็งในโถงทางเดินทุกห้อง โทรศัพท์สายตรงจากห้องพัก ร้านอาหารภายในโรงแรม สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และไม่เก็บค่าบริการเสริมสำหรับเด็กๆ แน่นอนว่าแนวคิดโรงแรมริมถนนราคาประหยัดอาจดูเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อย้อนกลับไปในทศวรรษนั้น กลยุทธ์ของวิลสันในการปั้น Holiday Inn คือ "การปฏิวัติอุตสาหกรรมโรงแรมอย่างแท้จริง"
นอกจากนี้ในปี 1965 Holiday Inn เปิดตัว ‘ระบบการจองเข้าพักล่วงหน้า’ ให้ลูกค้าจองการเข้าพักล่วงหน้าทุกสาขาในประเทศทั่วสหรัฐฯ ที่เรียกว่า ‘Holidex’ รับจองผ่านเครื่องพิมพ์ทางไกล
Holidex กลายเป็นระบบจองโรงแรมระบบแรกที่เชื่อมโยงโดยตรงกับระบบสายการบินและตัวแทนการท่องเที่ยวประหนึ่งเป็น Travel Agency มีคอลเซ็นเตอร์กว่า 800 คู่สายไว้รับรองการให้บริการ แน่นอนว่า Holiday Inn เป็นเจ้าแรกที่พัฒนาระบบได้ล้ำหน้าผู้อื่นเช่น เรียกได้ว่า Holiday Inn.com กลายเป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าใช้มากที่สุดเว็บไซต์หนึ่ง แถมยังขึ้นแท่นเป็นเครือข่ายการสื่อสารด้วยคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น
ภายใน 7 ปี ด้วยฝีมือการบริหารงาน สร้างแฟรนไชส์ภายใต้แบรนด์ กลุยทธ์การตลาดของวิลสัน Holiday Inn ได้กระจายตัวสู่ทางหลวงเส้นอื่นๆ อย่างรวดเร็วกว่าร้อยแห่ง โดย กิจการขยับขยายสู่ 500 แห่ง ในปี 1964 แตะ 1,000 แห่งในปี 1968 จนกระทั่ง Holiday Inn ปักหมุดในประเทศอื่นๆ ในปี 1972 Holiday Inn ขยายมากกว่า 1400 แห่งทั่วโลก จนถึงขั้นที่คนอเมริกันสมัยนั้นพูดกันว่า “เปิดตัวใหม่ทุกๆ 3 วัน” เลยทีเดียว
วิลสัน ได้รับการยกย่องในฐานะ "เจ้าของโรงแรมแห่งชาติ" ผู้ปฏิวัติมาตรฐานของอุตสาหกรรมโรงแรมและที่พักในการประกอบสร้างแบรนด์เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่เติบโตจนปัจจุบันกลายเป็นแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตระดับโลกที่นักเดินทางไม่ว่าจะภูมิภาคใดล้วนแต่วางใจ “The Nation’s Innkeeper to The World’s Innkeeper”
เมื่อเวลาผ่านไปวิสลันเกษียณในปี 1979 ก่อนที่ Holiday Inn จะเข้าสู่ยุคที่เริ่มสูญเสียอิทธิพลในตลาดให้กับคู่แข่ง จนกระทั่งสุดท้าย Brewery Bass PLC หรือ IHG ในปัจจุบันเข้าซื้อกิจการ Holiday Corporation ในปี 1988 ในมูลค่า 2.3 พันล้านเหรียญ วิลสันและผู้ถือหุ้นทยอยขายหุ้นออกเพื่อเปลี่ยนมือบริหาร ในปี 1993 Holiday Inn Hotels & Resorts กลายเป็นแบรนด์โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในปี 2007 Holiday Inn ได้ทำโครงการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในมูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดที่เครือโรงแรมเคยดำเนินการ ซึ่งถือเป็นการพนันครั้งใหญ่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย โรงแรมสาขาที่ได้รับการประเมินว่ามีประสิทธิภาพต่ำกว่า 1,200 แห่งถูกถอดออกจากระบบของ Holiday Inn ขณะเดียวกันที่เปิดอาคารใหม่กว่า 1,500 แห่ง พนักงานทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมใหม่ให้มีบุคลิกดีพร้อมให้บริการผู้เข้าพัก
Holiday Inn กลายเป็นกรณีศึกษาในอุตสาหกรรมโรงแรมและที่พักที่หลายๆ คนในอุตสาหกรรมมองว่าเป็นต้นแบบในยืดอายุแบรนด์ก่อนที่จะล้าสมัย ทำให้แบรนด์ดูสดใหม่อยู่เสมอ โดยที่ยังคงรักษามาตรฐานการให้บริการแบบดั้งเดิมในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน Holiday Inn เติบโตภายใต้การบริหารโฮลดิ้งใหญ่ระดับโลกอย่าง IHG ประกอบด้วยแบรนด์ย่อยๆ เช่น Holiday Inn Express, Express by Holiday Inn และอื่นๆ อีกมากมาย กลายเป็นเชนโรงแรมระดับตำนานของโลกที่ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปทำงาน หรือท่องเที่ยวในประเทศไหน หากมองเห็นป้ายโรงแรมสีเขียวพร้อมฟอนต์ที่คุ้นเคยตามแบบฉบับอเมริกันก็จะอุ่นใจได้เลยว่าจะได้รับการบริการที่มีมาตรฐานและสบายใจตลอดทริปนั่นเอง
อ้างอิง Time Magazine , CNN1, CNN2 , IHG