• Future Perfect
  • Articles
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ชี้ปลูกป่า-ปลูกคน ทางรอดหายนะภัยธรรมชาติ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ชี้ปลูกป่า-ปลูกคน ทางรอดหายนะภัยธรรมชาติ

Sustainability

ความยั่งยืน17 ก.ย. 2567 20:42 น.

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พร้อมภาคี ชี้ทางรอดจากหายนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะต้องใช้กระบวนการธรรมชาติบำบัดและการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในงานเสวนา “ปลูกป่า ปลูกคน: ทางเลือก ทางรอด” ว่า

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

หัวใจของความสำเร็จที่ประเทศไทยจะบรรลุตามข้อตกลงประกอบด้วยการใช้กระบวนการทางธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งเป็นการสรุปบทเรียนมาจากการปลูกป่าบนดอยตุงของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ดำเนินมาครบ 36 ปี การมีป่าเพียงอย่างเดียวกำลังจะไม่เพียงพอ เพราะโลกกำลังต้องการป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ

นอกจากนั้นป่ากับความหลากหลายจะยั่งยืนได้ก็ต้องมีคนคอยดูแล ซึ่งก็คือชุมชน ดังนั้นในการเดินไปสู่เป้าหมายของประเทศจะต้องมีทั้งสองปัจจัยนี้ และจะแยกจากกันไม่ได้

ตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ปลูกป่าบนดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ฟื้นฟูป่าได้ประมาณ 90,000 ไร่ สร้างอาชีพที่ดีแก่ประชาชนกว่าหนึ่งหมื่นคน และได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกกว่า 410,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ภาคีต่างๆ ในระยะยาว

ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากกรมป่าไม้ และภาคีภาครัฐและเอกชน 25 องค์กร ที่ร่วมกับ 281 ชุมชน เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชุมชนกว่า 258,186 ไร่ โดยมีเป้าหมายขยายโครงการไปยังป่าชุมชน 1 ล้านไร่ ภายในปี 2570 จากพื้นที่ป่าชุมชนทั้งหมด 6.8 ล้านไร่ในปัจจุบัน

โดยในช่วงไฟป่าที่ผ่านมา คนไทยพากันหวาดกลัว PM2.5 แต่เราพบว่าไฟป่าในป่าชุมชนที่ร่วมงานกันลดลงจากเฉลี่ย 22% เหลือเพียง 0.86% จึงพิสูจน์แล้วว่าชุมชนเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อม สอดคล้องกับพระบรมราโชบาย “ปลูกป่า ปลูกคน” นี่จึงทำให้เห็นว่าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ดี ตั้งแต่แก้ปัญหาหมอกควัน เพิ่มพื้นที่ป่า สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้ชุมชน และเอกชนได้รับคาร์บอนเครดิต

ในขณะที่การแสวงหาคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต หม่อมหลวงดิศปนัดดา ยังตั้งข้อสังเกตว่าประชาคมโลกกำลังจัดมาตรฐานคาร์บอนเครดิตกันใหม่ โดยมีแนวโน้มการพัฒนาคาร์บอนเครดิตที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างประโยชน์แก่ชุมชนในป่า

พร้อมระบุว่า คาร์บอนเครดิตคุณภาพต่อ คน สัตว์ ผืนป่า และสิ่งแวดล้อม เป็นผลของการที่เราดูแลป่าแล้วให้ป่า ให้ธรรมชาติได้มีโอกาสเติบโตโดยที่เราไม่ได้ไปทำลายเขา ดังนั้นความสำคัญของมันน่าจะเป็นรางวัลมากกว่าจากการที่ทุกคนมุ่งมั่นทุ่มเท ที่จะอนุรักษ์ดูแลสิ่งแวดล้อมและดูแลธรรมชาติ

ส่วนคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง คือเรื่องของที่มาหลายครั้งเราจะมองคาร์บอนเครดิตเป็นรูปแบบของเงิน แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่แบบนั้น คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงคือเรื่องของอื่นๆ ด้วย คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง คือให้ทุกคนได้ช่วยดูแลพื้นที่ป่าได้ดียิ่งขึ้น มีคุณภาพสูง เพราะว่าช่วยให้มีกระบวนการในการตรวจสอบที่ชัดเจน โปร่งใส ทำให้เรารู้ที่มาที่ไป ไม่ได้โอเวอร์เคลมเกินจริง หรือสะสมได้มากกว่าที่เป็นจริง มีคุณภาพสูงเพราะมีภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนและมีนโยบายในการก้าวเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือเน็ตซีโร่ ที่ชัดเจน

ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

ทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมา ทำให้กระบวนการทำงานของเรา เวลาที่เราเข้าไปดำเนินโครงการแล้วตอบได้อย่างชัดเจนมั่นคง แน่นอนว่าคาร์บอนเครดิตของเรามีคุณภาพที่ดีจริงๆ

ส่วนกรณีคาร์บอนเครดิต ถือเป็นหนึ่งทางเลือกในการสู้กับวิกฤตสภาพอากาศที่รุนแรงในขณะนี้ ได้หรือไม่นั้น เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า วิกฤตสภาพอากาศที่รุนแรงที่ผ่านมา เป็นผลของการสะสมที่พวกเราทุกคนละเลยการดูแลธรรมชาติ แล้วพอธรรมชาติเริ่มไม่มีระบบในการจัดการตนเอง ก็จะส่งผลกระทบในเรื่องของพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้น เรื่องของน้ำหลาก หิมะตกผิดพื้นที่ต่างๆ

ส่วนตัวมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลของการที่เราปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลานาน คาร์บอนเครดิตนี้จะเข้ามาช่วยเป็นเหมือนกับรางวัลตอบแทนให้กับคนที่เริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลธรรมชาติ แต่ว่าความท้าทายจริงๆ จะไม่เกิดขึ้น ถ้ามีคนบางคนทำ มันจะเกิดขึ้นได้ถ้าทุกคนในโลกนี้ร่วมมือกันทำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

สำหรับประเทศไทยร่วมลงนามในข้อตกลงปารีส เพื่อรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ไทยต้องเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 120 ล้านตันเทียบเท่าภายในปี พ.ศ. 2580 นอกจากนี้ไทยก็ได้รับรองกรอบความร่วมมือคุนหมิง-มอนทรีออล ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก เพื่อจะหยุดยั้งการสูญเสียและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ทางบก ทางทะเล และน้ำจืดให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2573 หรือเป้าหมาย 30x30

ประเทศไทยกับเป้าหมายสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ นโยบายและแนวทางการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ว่า

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญและรับมือกับปัญหาที่ตามมา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฤดูกาล การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีส จะต้องดำเนินการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อนำไปสู่การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับประชาคมโลก รวมทั้งการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ทั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2065 รวมทั้งเป้าหมายการมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ประเทศไทยได้รับรอง กรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออล ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก เพื่อหยุดยั้งการสูญเสียและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ นำไปสู่การบรรลุพันธกิจปี 2030 และวิสัยทัศน์ ปี 2050 ให้ประชาคมโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 4 เป้าประสงค์ ดังนี้

  1. เพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ทุกระบบนิเวศ
  2. ดำรงรักษาหรือเพิ่มพูนประโยชน์ที่ได้รับจากธรรมชาติ
  3. แบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างยุติธรรมและเท่าเทียม และ
  4. แก้ปัญหาช่องว่างทางการเงินและแนวทางดำเนินงานอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการบรรลุวิสัยทัศน์ ปี 2050

ทั้งนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการวางกรอบกฎหมาย กลไก และเครื่องมือในภาคบังคับและส่งเสริมที่จำเป็นและเหมาะสมกับการขับเคลื่อนประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

โดยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน สำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาฯ สมัยที่ 29 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 22 พฤศจิกายน 2567 ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยมีเป้าหมายที่ต้องการผลักดันในการยกระดับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 ซึ่งมีกำหนดจัดส่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025

ดร.พิรุณ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า เพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้ จึงต้องช่วยกันดูแล และส่งต่อโลกที่ดีและยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป

ภายในงานยังพูดถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนควบคู่กับการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชุมชนภายใต้โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งให้ผลพลอยได้เป็นคาร์บอนเครดิตที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. นายสมิทธิ หาเรือนพืชน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานพิเศษ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และ นางปราณี ราชคมน์ ประธานเครือข่ายป่าชุมชน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ภาพจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังพร้อมนำองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนไปเสริมทัพกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรเอกชนเพื่อนำกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กรไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การพัฒนาชุมชน การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการระบบน้ำ การปลูกและฟื้นฟูป่า การจัดการของเสีย เป็นต้น และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังมุ่งมั่นต่อยอดแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนควบคู่กับการฟื้นฟูและรักษาธรรมชาติ สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน และการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพและประโยชน์จากระบบนิเวศเป็นแนวทาง

การจัดงานครั้งนี้ยังได้รับตรารับรอง Net Zero Event งานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก “สุทธิเป็นศูนย์” จาก อบก. โดยมีการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในงานด้วย “คาร์บอนเครดิตจากการอนุรักษ์ป่าไม้” ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ จังหวัดเชียงราย