• Future Perfect
  • Articles
  • ปลุกกระแสท่องเที่ยวยั่งยืน แนะรัฐวางมาตรการจูงใจสายการบิน เปลี่ยนใช้พลังงาน SAF

ปลุกกระแสท่องเที่ยวยั่งยืน แนะรัฐวางมาตรการจูงใจสายการบิน เปลี่ยนใช้พลังงาน SAF

Sustainability

ความยั่งยืน8 มี.ค. 2567 08:00 น.

"เคทีซี" จัดเสวนา ปลุกกระแสท่องเที่ยวยั่งยืนจากไทยสู่เวทีโลก ระดมความคิดเห็นสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ โดยภาคอุตสาหกรรมการบิน แนะภาครัฐหามาตรการจูงใจสายการบิน เปลี่ยนใช้เชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero

วันที่ 7 มี.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เคทีซี เปิดเวทีเสวนา "เคทีซีปลุกกระแสท่องเที่ยวยั่งยืนจากไทยสู่เวทีโลก" โดยภาคอุตสาหกรรมการบิน และผู้ประกอบการโรงแรม พร้อมปรับตัวรับเทรนด์การท่องเที่ยวยั่งยืน แนะภาครัฐหามาตรการจูงใจสายการบิน เปลี่ยนใช้เชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นเดินหน้าสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนครอบคลุมเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมชูโมเดลการท่องเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตัวอย่างการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ขณะที่ เคทีซีร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมพิเศษ สนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน


 
โดย นายยงยุทธ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการภูมิภาคประจำประเทศไทย ลาว กัมพูชา และ เมียนมา สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (lATA: International Air Transportation Association) กล่าวในเวทีเสวนา ว่า IATA ก่อตั้งมาประมาณ 70 ปี แล้ว โดยหน้าที่ของเราคือ การสนับสนุนกิจกรรมด้านการเดินอากาศทุกรูปแบบ รวมถึงการเชื่อมโยงการเดินทางให้ได้มากที่สุด บนพื้นฐานว่า เชื่อมโยงอย่างไรให้เกิดความยั่งยืนมากที่สุด โดยทำงานร่วมกับสายการบินทุกสายในการพัฒนาธุรกิจการบินให้เกิดความยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ทั่วโลกภายในปี 2593

โดยเป้าหมาย Net Zero ดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินได้เห็นความสำคัญของเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF แต่การเปลี่ยนมาใช้ SAF นั้น อาจทำให้สายการบินมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 2 – 5 เท่า

ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถรับรองเครื่องบินและเครื่องยนต์ใหม่เพื่อให้สามารถใช้ SAF ได้ 100% และพิจารณาการใช้สิทธิพิเศษจูงใจในการสนับสนุนการใช้ SAF ในอุตสาหกรรมการบินได้ อาจส่งผลให้ทุกสายการบินเปลี่ยนมาใช้ SAF ได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อต้นทุนมากนัก ซึ่งนั่นอาจทำให้เราบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้

นางสาวเคอรี่ ลุย ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมา สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค เปิดเผยว่า หัวใจสำคัญของคาเธ่ย์ คือ การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน เนื่องจากเป้าหมายของแบรนด์คือการขับเคลื่อนผู้คนไปข้างหน้าในชีวิต เรามุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง และบุกเบิกเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบินให้มากขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และนำไปสู่การเดินทางที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ

โดยมีโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการชดเชยคาร์บอนที่ดำเนินการโดยการคำนวณการปล่อยคาร์บอน (Fly Greener), โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของอากาศยานและการทำงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Corporate Sustainable Aviation Fuel), การใช้ปลอกหมอนและผ้านวมทำจากผ้าฝ้ายที่ยั่งยืน 100% ในชั้นธุรกิจ, การใช้ผ้าห่มที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิลและพรมจากวัสดุเหลือใช้ไนลอนที่นำกลับมาใช้ใหม่, การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวบนห้องโดยสารบนเครื่องบินชั้นประหยัด

โดยในปี 2565 สายการบินฯ สามารถลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวได้ถึง 56% ต่อผู้โดยสาร 1 คน และยังจะคงเดินหน้าต่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนต่อไปในปี 2567 

นอกจากนี้ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ยังได้สนับสนุนชุมชนท้องถิ่นฟื้นฟูถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ ตลอดจนรับมือกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการปลูกต้นไม้ที่ป่าชายเลนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ปี 2564 เป็นจำนวนกว่า 21,000 ต้น และในปี 2567 นี้ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในประเทศไทย ก็จะร่วมมือกับเคทีซี ในการปลูกต้นไม้ที่ป่าชายเลนในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 4,000 ต้นด้วย



ดร.วาสนา พงศาปาน ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า อพท. ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้และกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ โดยบูรณาการและร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน มีความสมดุลใน 3 มิติ ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม Co-creation & Co-own ซึ่งขณะนี้มี 9 พื้นที่พิเศษฯ ที่ได้รับการประกาศแล้ว

โดย อพท. ได้นำหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานสากลมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว ได้แก่ เกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) ใช้พัฒนาและยกระดับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษฯ จนได้รับรางวัล Green Destinations Top 100 Stories แล้ว 5 แห่ง, ร่วมขับเคลื่อนเมืองสู่การเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UCCN) เพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แล้ว 4 เมือง, การส่งเสริมมาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (STMS) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว 86 องค์กร และ เกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism หรือ CBT Thailand) ได้พัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้แก่ชุมชน CBT เข้าสู่กระบวนการพัฒนาและด้านการตลาด รวมถึงเครื่องมือการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) มาอย่างต่อเนื่องและในปี 2567 ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่พิเศษไม่น้อยกว่า 60 ล้านบาท  

ด้าน นางสาวสุวิมล งามศรีวิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย เซเรนาต้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป และตัวแทนสมาคม  TEATA สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เริ่มมองหาการท่องเที่ยวเชิงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้ประกอบการและบริษัทนำเที่ยวที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Inbound Tour) กว่า 50% ของตลาดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก จะมีการตรวจประเมินสถานที่พักด้านคุณธรรม, สังคมชุมชน, ความปลอดภัย และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อนเซ็นสัญญา นำนักท่องเที่ยวเข้าพัก สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต้องการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการท่องเที่ยว โดยเน้นกิจกรรมท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality)  

โดยโรงแรมในเครือเซเรนาต้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป ถือเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ตั้งแต่ปี 2519 โดยให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น ร่วมจัดตั้งสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.), ร่วมโครงการ  TEATA “เที่ยวไทยไร้คาร์บอน 50 เส้นทาง”  (Eco Friendly – Low Carbon), ร่วมโครงการ Stay Green Stay with SERENATA  มอบส่วนลดสำหรับสมาชิกที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) ร่วมกับ KTC World Travel Service 



นางสาวธันย์ชนก น่วมมะโน ผู้แทนประจำประเทศไทย การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ได้มีการพัฒนากลยุทธ์และปลูกฝังแนวคิดสวิสเทเนเบิล (Swisstainable) ตั้งแต่ปี 2562 โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่สุดในโลก และเป็นจุดมุ่งหมายของนักเดินทาง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกด้วย

สำหรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของสวิตเซอร์แลนด์ (Swisstainable Strategy) โดยการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ได้เชิญกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งภาคขนส่ง, ภาคอุตสาหกรรม, โรงแรมที่พัก, ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เข้าร่วมแคมเปญ ซึ่งทุกองค์กรจะได้รับการอนุมัติให้ใช้สัญลักษณ์สวิสเทเนเบิล (Swisstainable) ตามระดับความมุ่งมั่นของแต่ละองค์กร ตั้งแต่ระดับ Committed ระดับแรกสำหรับธุรกิจที่มีความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน แต่ยังไม่ได้รับการรับรอง, ระดับ Engage จะเป็นองค์กรมั่งมั่นในการจัดการด้านความยั่งยืน และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเคยได้รับการรับรอง สุดท้ายคือ ระดับ Leading ซึ่งจะมุ่งไปที่ธุรกิจที่ได้รับการรับรองด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุม และเป็นที่ยอมรับในทุกมิติ


โดยปี 2566 ที่ผ่านมามีองค์กรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมทั้งหมด 2,500 องค์กรและตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2567 จะมีองค์กรเข้าร่วมมากถึง 4,000 องค์กร 

ขณะที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสวิตเซอร์แลนด์สามารถร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนได้ เช่น การบริโภคผลิตภัณฑ์ ผลผลิตจากท้องถิ่นที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติของสวิตเซอร์แลนด์อย่างแท้จริง ทั้งภูเขา ทะเลสาบ เลือกการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และอยู่ต่อรวมถึงเข้าพักนานขึ้น (Stay Longer) เพื่อซึมซับธรรมชาติและเพิ่มประสบการณ์ท้องถิ่นในสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศจะคงความดั้งเดิมของการท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวเลือกสวิตเซอร์แลนด์เป็นจุดหมายปลายทางในอนาคตตามพันธกิจ “ธรรมชาติของเราเป็นแรงขับเคลื่อนให้คุณ” (Our Nature Energizes You.) 

นอกจากนี้ ในส่วนของตัวนักท่องเที่ยวเอง สวิตเซอร์แลนด์เองมุ่งเน้นการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวด้วย


มิสเตอร์อัวร์ส เคสเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการรถไฟยุงเฟรา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มมองหาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้น กลุ่มบริษัทรถไฟยุงเฟรา (Jungfrau Railway Group) จึงได้พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ และแสดงให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและความยั่งยืนสามารถทำคู่ขนานไปด้วยกัน 

ทั้งนี้ ยังได้กำหนดกลยุทธ์การใช้ทรัพยากรนิเวศอย่างยั่งยืน เช่น การใช้รถไฟและกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100% นอกจากนี้ ได้เตรียมจัดตั้งกองทุนความยั่งยืนระยะเวลา 10 ปี สำหรับการดูแลหมู่บ้านกรินเดิลวาลด์ (Grindelwald) และหมู่บ้านเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีแผนที่จะสร้างระบบโซลาร์ขนาด 12 เฮกตาร์บนเทือกเขาแอลป์ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานให้ได้ 12 กิโลวัตต์ – ชั่วโมงต่อปี เพื่อจัดหาพลังงานให้กับ 3,000 ครัวเรือนในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาไฟฟ้าแพงที่สุด เพราะมีความต้องการใช้มากที่สุดด้วย และว่าการออกแบบด้านความยั่งยืนตั้งแต่ต้นนั้น จะดีกว่าการที่จะต้องปรับตัวตลอดเวลาแน่นอน



ขณะที่ นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า KTC World Travel Service หน่วยงานที่ดูแล และให้บริการด้านการท่องเที่ยวให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ได้วางกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ดังนี้ 

1. การสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักท่องเที่ยวกับประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ท้องถิ่น ธรรมชาติ และชุมชน ผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของเคทีซี เพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ร้านค้า ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ที่พักชุมชน ให้กับสมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น  

2. การจัดทำโครงการนำร่อง “ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกับ KTC WORLD” ร่วมกับพันธมิตรท่องเที่ยวกว่า 10 รายทั้งในประเทศและต่างประเทศ คัดเลือกผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการทางท่องเที่ยวที่สะท้อนถึงการลดการปล่อยคาร์บอน หรือการเดินทางท่องเที่ยวแบบสาธารณะและชุมชนมากขึ้น อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพ็กเกจท่องเที่ยวชุมชน 

3. การมีส่วนร่วมกับพันธมิตรสร้างประโยชน์และคืนผลประโยชน์สู่ทรัพยากรการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม อาทิ การร่วมต่อยอดกับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ภายใต้โครงการ “บิน 1 เที่ยว ปลูก 1 ต้น”  (1 Ticket 1 Tree) ในการพัฒนาความยั่งยืนผ่านการปลูกต้นโกงกางในพื้นที่ป่าชายเลน 

อย่างไรก็ตาม เคทีซี มองว่า หากทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างจริงจัง จะทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายใหม่ๆ พร้อมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่เน้นความยั่งยืนได้หลากหลายและตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม ซึ่งก็คือ การกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและไปสู่ชุมชน ซึ่งรากฐานของความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้แข็งแรงได้ระยะยาว.