• Future Perfect
  • Articles
  • เจาะเหตุผล ทำไม "โลจิสติกส์ย้อนกลับ" สำคัญต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

เจาะเหตุผล ทำไม "โลจิสติกส์ย้อนกลับ" สำคัญต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

Sustainability

ความยั่งยืน20 ก.พ. 2567 19:13 น.
  • กระแส "ความยั่งยืน" ยังเป็น 1 ในปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซควรคำนึงถึง
  • "โลจิสติกส์ย้อนกลับ" การขนส่งสินค้าจากลูกค้าปลายน้ำ กลับมายังผู้ขาย หรือผู้ผลิตที่ต้นน้ำ เทรนด์เศรษฐกิจแบบหมุนเวียนที่น่าสนใจ ที่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซสามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจ
  • พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศไทย ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและใช้บริการ จากธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน และสามารถดำเนินธุรกิจโดยปฏิบัติตามหลัก ESG 

ความยั่งยืน เป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เนื่องด้วยผู้บริโภคในปัจจุบันมีความต้องการสินค้า และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งความจําเป็นในการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งถือเป็นกระแสที่น่าจับตามองในหลายประเทศ

ทั้งนี้ นางสาวออดรี เฉิง รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่า สําหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์ที่เริ่มต้นจากการให้บริการรับฝาก และจัดส่งสินค้า ถือเป็นโอกาสที่ดีในการออกแบบกระบวนการปฏิบัติงานแบบใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ต่ำลง ผ่านการปรับใช้แนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน หรือ Circular Economy เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ

รู้จักกับเศรษฐกิจหมุนเวียน

เศรษฐกิจหมุนเวียน คือ วิธีการดำเนินธุรกิจที่เน้นการสร้างความยั่งยืนและทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ผ่านการแบ่งปันทรัพยากร การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล และการตกแต่งซ่อมแซมผลิตภัณฑ์เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เกิดขึ้นเพื่อมาแทนที่แนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบเส้นตรง (Linear-Economy) ที่เน้นการผลิตและการบริโภคอย่างไม่จำกัด และจบด้วยการกําจัด ซึ่งแนวคิดที่เกิดขึ้นใหม่นี้เป็นโอกาสที่ดีในการบูรณาการหลักการที่ยั่งยืนเข้ากับการดําเนินธุรกิจโลจิสติกส์ และเทรนด์หนึ่งของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่น่าสนใจอย่างมาก คือ การจัดการโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) เป็นการขนส่งสินค้าจากลูกค้าปลายน้ำกลับมายังผู้ขายหรือผู้ผลิตที่ต้นน้ำ

โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics)

โลจิสติกส์ย้อนกลับ ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และเป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยในปี พ.ศ.2565 ตลาดโลจิสติกส์ย้อนกลับทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 939 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยราว 31 ล้านล้านบาท) และมีอัตราการเติบโตที่ 12.3% ต่อปี

โลจิสติกส์ย้อนกลับเอื้อให้เกิดการยืดอายุของทุกผลิตภัณฑ์ สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เน้นการเช่าซื้อแทนการขาย และให้มีการซ่อมแซม และบํารุงรักษา เพื่อลดต้นทุน รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การนำโลจิสติกส์ย้อนกลับมาปรับใช้กับธุรกิจในประเทศไทย

การเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อย และธุรกิจโลจิสติกส์เติบโตขึ้นอย่างมาก

ในปี พ.ศ.2566 มีการคาดการณ์ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 9 แสนล้านบาท ซึ่งได้รับแรงหนุนจากผู้บริโภคที่หันมาใช้บริการอีคอมเมิร์ซกันมากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งขึ้นจากผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดฯ อย่าง ลาซาด้า (Lazada) และ ช้อปปี้ (Shopee) รวมถึงการมาของแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ อย่างเช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) และ ติ๊กต่อก (TikTok) โดยคาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 ต่อปี

ในปัจจุบันการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดอีคอมเมิร์ซเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ ผู้ประกอบการ และร้านค้าออนไลน์ ควรพิจารณานำโลจิสติกส์ย้อนกลับมาปรับใช้ในการจัดการขนส่งสินค้ากันมากขึ้น เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม

รูปแบบโลจิสติกส์ย้อนกลับที่ธุรกิจร้านค้าออนไลน์สามารถนำมาปรับใช้ได้ ประกอบด้วย

1. การจัดการขยะ และวัสดุเหลือใช้ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการขนส่ง อย่างที่ เฟดเอ็กซ์ ได้ร่วมมือกับ N15 ในการนำขยะจากการดำเนินงานของเรามารีไซเคิล โดยใช้เทคโนโลยีแปลงขยะให้เป็นพลังงานเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) สำหรับโรงงานผลิตปูน

2. การนำการจัดการโลจิสติกส์ย้อนกลับมาปรับใช้ในการยืดวงจรของการใช้งานสินค้า รวมทั้งวัสดุ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะหมุนเวียนอยู่ในระบบการใช้งานให้ได้นานที่สุด จากการซ่อมแซม แลกเปลี่ยน หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สามารถปรับใช้งานกับวัสดุ หรือส่วนประกอบของสินค้าแบบเก่าได้ ซึ่งในประเทศไทย เฟดเอ็กซ์ ได้ร่วมกับบริษัท SC Grand นำชุดยูนิฟอร์มเก่ากว่า 200 ชิ้น มารีไซเคิลให้เป็นเส้นด้ายเพื่อถักทอเป็นหมวกแก๊ปให้พนักงานส่งของได้ถึง 700 ชิ้น

3. ซ่อมแซม และปรับปรุง เป็นอีกหนึ่งบริการใหม่ที่ผู้ผลิตนำเสนอแก่ผู้บริโภค เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าส่งคืนสินค้าที่ใช้แล้วให้กับบริษัทเพื่อนำกลับมาผลิตใหม่ เป็นการยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์นั้นๆ และเพื่อที่จะให้ลูกค้าคนอื่นๆ ได้มีโอกาสใช้งานมันอีกครั้ง

4. ธุรกิจควรริเริ่มมองหาวิธีการรีไซเคิล หรือการจัดการของเสีย แม้กระทั่งสิ่งของที่หมดอายุการใช้งานแล้วก็ตามอย่างเช่น การที่หลายๆ แบรนด์เสนอสิทธิประโยชน์พิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ที่บริจาคสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วเพื่อให้บริษัทสามารถนำกลับมารีไซเคิลหรือเข้าสู่กระบวนการผลิตซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่วนมากสามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้โดยง่าย

5. ในปัจจุบันได้มีการออกมาตรการสำหรับกระบวนการคืนสินค้าที่ชัดเจน และเรียบง่าย ซึ่งลูกค้าสามารถส่งคืนสินค้าที่ไม่ต้องการ เพื่อเปลี่ยน หรือขอคืนเงินได้อย่างง่ายดาย และสินค้าที่ส่งคืนเหล่านี้จะกลายเป็นตัวเลือกหลักสําหรับการรีไซเคิล หรือการนำไปขายต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการดังกล่าวนี้ เฟดเอ็กซ์ ได้มีการออกแบบซองส่งพัสดุ (Reusable Pak) ที่สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้หลายครั้ง สำหรับการส่งคืนสินค้า หรือการส่งพัสดุในโอกาสถัดไป

โอกาสสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ย้อนกลับในประเทศไทย

สำหรับธุรกิจรายย่อยในประเทศไทย การนำเสนอบริการโลจิสติกส์ย้อนกลับจะส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจ นอกจากนี้เรื่องความยั่งยืนยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซควรคำนึงถึงเพื่อทำให้ธุรกิจของตนเองแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ จากรายงาน What’s Next in E-Commerce Survey ของเฟดเอ็กซ์ แสดงให้เห็นว่าจาก 9 ใน 10 ของผู้บริโภคในประเทศไทย คาดหวังว่าเหล่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่พวกเขาใช้บริการและซื้อสินค้า จะยึดมั่นและดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืน นอกจากนี้ยังพบว่า 8 ใน 10 คน จะเลือกซื้อสินค้า หรือใช้บริการจากธุรกิจที่สามารถดำเนินธุรกิจโดยปฏิบัติตามหลัก ESG และนำมาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจจะมองเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาว่ากระบวนการนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างลูกค้า และร้านค้า ซึ่งเชื่อมโยงกันด้วยกระบวนการโลจิสติกส์ และโลจิสติกส์ย้อนกลับ และเมื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนหยั่งรากลึก ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นการตอบสนองแบบสองทาง แทนที่ธุรกรรมทางเดียวแบบที่เคยเป็นมา.