จ.อุดรธานี ตั้งเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสีย โครงการเหมืองแร่โปแตสอุดรธานี มีจนท.คุมเข้มความปลอดภัยพันกว่านาย ไร้เหตุรุนแรง...

วันที่ 23 เม.ย. 59 ที่อาคารเอกนกประสงค์ โรงเรียนโนนสูงพิทยาคาร ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี  มีการตั้งเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสีย โครงการเหมืองแร่โปแตสอุดรธานี โดยมีการเตรียมป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มต่อต้าน เกิดการปะทะและก่อกวนกัน ด้วยการใช้กำลังตำรวจ 1,200 นาย กำลัง อส.-ชรบ. 150 นาย และทหาร 400 นาย ร่วมตั้งด่านตรวจและอำนวยความสะดวก 3 จุด จากถนนมิตรภาพจนถึงหน้า รร.โนนสูงพิทยาคาร

ผู้เข้าร่วมเวทีต้องแสดงบัตรประชาชน เพื่อรับสติ๊กเกอร์แยกออกเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนทั่วไป ซึ่งรวมแล้วมีผู้มาแสดงตัวมากกว่า 2,000 คน ก่อนเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะ และเจ้าหน้าที่ตำรวจกระเป๋า เพื่อเข้าไปในพื้นที่จัดเวทีฯ ซึ่งนอกจากอาคารเอนกประสงค์ ยังมีเต้นมากางเพิ่มเติมด้านหน้า มีกำลังของ อส. และ ชรบ. ทั้งชายหญิงในเครื่องแบบดูแลภายใน ส่วนกำลังตำรวจพร้อมอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จะรออยู่ที่บริเวณหลังป้อมยาวทางเข้า สำหรับกำลังทหารอยู่ด้านหลังโรงเรียน

ภายในอาคารเอนกประสงค์ กรรมการจัดเวทีฯ ได้ใช้แผงเหล็กแบ่งพื้นที่เป็น 4 ล็อค มีเก้าอี้พลาสติกอยู่ภายใน ทุกล็อคขั้นด้วยช่องทางเดิน มี อส.-ชรบ.ประจำอยู่ โดยกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำโดยนางมณี บุญรอด สวมเสื้อยืดสีเขียว เขียนข้อความ “เราถอยไม่ได้อีกแล้ว” จัดให้นั่งล็อคแรกด้านขวาเวที โดยขอให้เอาเก้าอี้ออกไปเพื่อนั่งกับพื้น ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นเสื้อหลากสี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ให้การสนับสนุน นำโดย จ.ส.อ.ฉลอง ภูวิลัย นายก อบต.โนนสูง ขณะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร เชิญบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ลงทะเบียนออกจากห้องไป 3 คน

...

จนถึงเวลา 09.00 น. นายสมหวัง พ่วงบางโพ รอง ผวจ.อุดรธานี เป็นประธานเปิดเวที ด้วยการนำสวดมนต์ สวดบูชาเทวดา แผ่เมตตา และขอพร ก่อนกล่าวว่า กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหลือแร่ (กพร.) แจ้งว่า รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เห็นชอบในการประมวลโครงการรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และความเห็นของผู้พิจารณารายงาน สำหรับคำขอประทานบัตรของบริษัทเอเชีย แปรซิกฟิก โปรแตซ จำกัด (เอพีพีซี.) เข้าสู่กระบวนการการรับฟังความคิดเห็น ของผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 88/7 พรบ.แร่ พ.ศ.2510 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 พ.ศ.2545 ขอให้จังหวัดอุดรธานีจัดรับฟังความคิดเห็น ก่อนรวบรวมให้ กพร.เสนอต่อรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีต่อไป

หลังจากพิธีเปิด นางพิกุลทอง โทธุโย กรรมการกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ยื่นหนังสือคัดค้านโครงการเหมือนแร่โปแตสอุดรธานี และคัดค้านการจัดเวทีฯครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่า 1. ขอบเขตเหมืองมีพื้นที่ 26,400 ไร่ รังวัดปักแนวเขตตั้งแต่ปี 53 ผ่านมากว่า 6 ปี ที่ดินมีการเปลี่ยนมือ ประชาชนย้าย-เกิด-ตาย ข้อมูลที่รัฐยังไม่ได้แก้ไข 2. ผู้มีส่วนได้เสียได้ร่วมกันคัดค้าน การปักหมุดแนวเขต การดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ประชาชนได้ฟ้องต่อศาลปกครอง และ 3. คกก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เคยมีมติให้จัดทำรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เชิงยุทธศาสตร์เหมือนแร่โปแตสภาคอีสานก่อน การจัดเวทีอาจจะไม่ถูกต้อง

ด้านนายสมหวัง กล่าวหลังรับหนังสือว่า จะขอพิจารณาในภายหลัง และให้เริ่มต้นเวทีฯด้วยการชี้แจงของหน่วยงานรัฐและเอกชน ประกอบด้วยนายจารุกิตต์ เกตุแก้ว ผอ.สนง.อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 2 , ต่อด้วยนายวรวุฒิ หิรัญยไพศาลสกุล ผจก.ใหญ่ บริษัทเอพีพีซี., นางสุภาพร ศรีหริ่ง นักวิชาการสิ่งแวดล้อมอาวุโส บริษัทเอพีพีซี และนายกมล มหาผล วิศวกรอาวุโส บริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเสอร์ล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งตลอดการชี้แจงกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้นำนกหวีดออกมาเป่า ชูซองเอกสาร-บัตรประชาชน-บัตรผู้มีส่วนได้เสีย และตะโกนอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถห้ามปรามได้ ขณะที่ฝ่ายหนุนก็มีโห่ปากบ้าง

ขณะที่นายอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ ที่มาเป็นพิธีกรเวที ได้ขอร้องกลุ่มอนุรักษ์ฯ ให้หยุดเป่านกหวีด เพื่อมารับฟังความเห็นคนอื่น เมื่อไม่ได้ผลก็ดำเนินการต่อ ให้ผู้สนับสนุนขึ้นแสดงความคิดเห็นที่ต้องการจะให้เกิดเหมือง เพื่อลูกหลานจะได้กลับมาทำงานที่บ้าน และเชื่อว่าผลดีจะมากกว่าผลเสีย

ส่วนนางมณี บุญรอด ระบุว่า เวทีนี้ไม่ชอบมาพากล เป็นเวทีจอมปลอม-นอกกรอบ ยังไม่ถึงขั้นตอนของ ม.88/7 ก็มาจัดทำเวทีทำไม กลุ่มอนุรักษ์ฯ ไม่ต้องใช้เงิน 300 จ้างมา หากอยากให้เกิดเหมืองไม่ยากแค่ตำบลห้วยสามพาด ออกจากเขตประทานบัตรจะหยุดต่อต้าน

...

ทั้งนี้ เวทีดำเนินการมากว่า 3 ชม. มีการแสดงความคิดเห็นทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายคัดค้าน ท่ามกลางเสียงนกหวีดตลอดเวลา จนปิดเวทีไม่มีการใช้กำลังเข้าปะทะกัน แต่หลังจากปิดเวทีกลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้มารวมตัวกันที่สนามบาสเกตบอล นำจดหมายเชิญ เอกสาร และบัตรเข้าเวที มากองรวมกันแล้วจุดไฟเผา ยืนล้อมวงร้องเพลิงประจำกลุ่ม เมื่อไฟดับลงก็แยกย้ายกันกลับบ้าน