‘จุติ-องอาจ’แฉตรวจสอบไม่ได้-จ่อขับพ้นพรรค-ขอโทษชาวกทม.

พรรคประชาธิปัตย์ประกาศตัดขาด กทม.หลังขบเหลี่ยมปีนเกลียวกับ “สุขุมพันธุ์” จนเกินเยียวยาประสานงานไม่ลงตัว ตรวจสอบไม่ได้ ประกาศขอโทษ ชาว กทม.พร้อมบอกทางใครทางมันแล้ว ส่งสัญญาณตะเพิดพ้นพรรค แต่ยังทำเป็นทางการไม่ได้ เพราะติดคำสั่ง คสช. อดีตสมาชิกพรรคไปร่วมหัวจมท้ายกับ กทม. ส่อโดนโละทิ้งทั้งคณะ “โทรโข่ง ชายหมู” วิเคราะห์เกม ของกลุ่มคนไม่พอใจ เขี่ยลูกให้นายกฯใช้มาตรา 44 จัดการ กรธ.เล็งยกเลิกเลือกตั้งล่วงหน้า แต่ขยายเวลาลงคะแนนถึง 5 โมงเย็น รับเป็นงานหนักเข็น รธน. ผ่านประชามติ พท.เย้ย รธน.ฉบับอาจารย์ใหญ่ อ่อนด้อยกว่าของเมียนมา นายกฯของขึ้นนักข่าวถามประเด็น คสช.เว้นวรรคการเมือง อัดสื่อชอบขยายความให้พวกหนีคดี ยักไหล่ไม่สนใจทหารซุ่มโป่งสังเกตการณ์บ้านนักข่าว ยังคาใจไปงานปีใหม่บ้าน “ปู” รับเครื่องรางของขลัง

สืบเนื่องจากความระหองระแหงไม่ลงรอยกันภายในพรรคประชาธิปัตย์ เกิดการขบเหลี่ยมปีนเกลียวในการประสานงาน-ตรวจสอบ ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ภายใต้การบริหารงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคต้นสังกัด ถึงขั้นร้องเรียนให้องค์กรอิสระเข้ามาตรวจสอบการทำงานของ กทม. ล่าสุด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ออกมาแถลงข่าวตัดขาดกับการบริหารงานของ กทม. ภายใต้การกำกับของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พร้อมส่งสัญญาณขับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ออกจากพรรคด้วย

ปชป.ตัดหาง “ชายหมู” ขอโทษคน กทม.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ม.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคภาค กทม. ร่วมแถลงจุดยืนคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่มีแนวทางการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร (กทม.) แตก ต่างกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถประสานงานได้ยาวนานกว่า 3 เดือน โดยนายจุติกล่าวว่า ตามข้อบังคับพรรคผู้บริหารส่วนท้องถิ่นที่ลงในนามพรรคจะต้องรับฟังแนวทางของพรรค ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใสในการบริหารงานของผู้บริหาร กทม. เพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการได้ พรรคจึงต้องรับผิดชอบในทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนไว้วางใจ โดยจากนี้ไปการบริหารของ กทม.ถือเป็นการดำเนินการโดยเอกเทศของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะพรรคไม่สามารถใช้ระบบและกลไกในการสนับสนุนติดตามตรวจสอบการทำงานของ กทม.ได้ พร้อมกันนี้ พรรคต้องรับผิดชอบและขอโทษต่อชาว กทม.ด้วย พรรคจึงเปิดทางให้ผู้ว่าฯ กทม.ตัดสินใจบริหารตามทัศนคติของตัวเอง รวมทั้งรับผิดชอบต่อการบริหารงานของตนเองด้วย

...

คนในไปร่วมงานส่อเค้าโดนดีดทิ้ง

นายจุติกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหมูๆที่จะตัดสินใจ ที่ผ่านมามีความพยายามประสานงานมาตลอดกว่า 3 เดือน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จจนมาถึงวันนี้ ยืนยันเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นการส่วนตัว และไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือเรื่องไม่ส่งเงินพรรคตามที่มีกระบวนการสร้างข่าวยุแยงให้แตกแยก แต่เป็นเรื่องของการเคารพระบบพรรค ซึ่งบุคลากรของพรรคที่ไปทำงานร่วมกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ต้องตัดสินใจเอาเองด้วยว่าจะทำอย่างไร ส่วนตัวยังบอกไม่ได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะมีผลต่อการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ในอนาคตหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน และยังถือว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นรองหัวหน้าพรรคอยู่ เพราะพรรคไม่สามารถเปิดการประชุมพรรคได้ ส่วนตัดสินใจลาออกหรือไม่ขึ้นอยู่กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะพิจารณาเอง

ส่งสัญญาณชัดตะเพิดพ้นพรรค

ขณะที่นายองอาจกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผ่านมา พรรคเคยมีมติขับนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ส.ก.บางรักและอดีตประธานสภากรุงเทพมหานคร ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค จากกรณีเข้าชิงตำแหน่งประธาน ส.ก.แข่งกับนายสมชาย เวลารัชตระกูล ส.ก.เขตสายไหม ทั้งที่พรรคมีมติให้ส่งรายชื่อเดียวมาแล้ว แต่กรณีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์พรรคไม่สามารถเปิดประชุมได้จึงต้องแสดงจุดยืนให้ประชาชนคน กทม.ที่เลือกพรรครับทราบจุดยืนของเราที่ติดใจในเรื่องความไม่โปร่งใสหรือยอมรับการตรวจสอบ

ยันพรรคไม่ร้าว ไม่มีสมาชิกแยกตัว

เมื่อถามว่า การที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ยังไม่ลาออกจากรองหัวหน้าพรรค ถือว่ายังตัดไม่ขาดประชาชนจะสงสัยหรือไม่ และหากพรรคสามารถเปิดประชุมได้จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ตามขั้นตอนและระเบียบของพรรคหรือไม่ นายองอาจตอบว่า คงตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบการตัดสินใจของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แต่เชื่อว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ภายในพรรค หรือทำให้มี ส.ส.แยกตัวออกจากพรรคไป และการตรวจสอบต่างๆก็จะดำเนินการตามปกติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ไปร่วมบริหารงานกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ใน กทม. คือ นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯ กทม. อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. อดีต ส.ส.กทม. นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกประจำตัวผู้ว่าฯ กทม. สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

“โทรโข่งชายหมู” ซัดเกมล่อเป้า ม.44

ที่ศาลาว่าการ กทม. นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกประจำตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแถลงข่าวของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ถือเป็นมติของพรรค เพราะขณะนี้ยังมีคำสั่งห้ามประชุมทางการเมืองของ คสช. ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถติดต่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ อาจเพราะติดภารกิจ หรืองานสำคัญอื่น ที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีการติดต่อพูดคุยกันและเคยกินข้าวมาด้วยกัน การทำงานตลอด 7 ปีที่ผ่านมา กทม.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบจากทุกฝ่าย และได้ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด ซึ่งพรรคก็ได้รับการสนองอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับพรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสสังคมกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปีสุดท้ายของวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. อาจจะเป็นความต้องการของกลุ่มคนที่ไม่พอใจการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. ที่อยากให้นายกฯใช้มาตรา 44 กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์หรือไม่ แต่ตน ยังเชื่อการใช้อำนาจในดุลพินิจของนายกฯ

เข้าใจสัจธรรมทำงานต้องเจอทั้งติ-ชม

นายวสันต์กล่าวอีกว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บอกกับทีมงานตลอดว่า การทำงานทางการเมืองต้องเดินไปในความถูกชอบและไม่ชอบ ทั้งกุหลาบ ขวากหนาม หรือกระเบื้อง แต่ผู้ว่าฯ กทม.ไม่ตอบโต้ บอกกับทีมงานเสมอว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์คือพี่น้องของเราที่อยู่กันมา มีบุญคุณ การทำอะไรก็ตามสุดท้ายที่เจ็บปวดคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะวันหนึ่งถ้าคนไป แต่พรรคยังต้องอยู่ ดังนั้น ในปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.นี้จะเร่งรัดการทำงานให้มากที่สุด ส่วนเรื่องอนาคตผู้ว่าฯ กทม.บอกแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้ทำงานให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เดินทางไปราชการต่างประเทศที่กรุงลิสบอน และเมืองปอร์โต สาธารณรัฐโปรตุเกส เพื่อลงนามความตกลงการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพมหานครกับกรุงลิสบอน ระหว่างวันที่ 17-23 ม.ค.


กรธ.เลิก ลต.ล่วงหน้าแต่ขยายเวลา

ส่วนความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. เป็นประธานการประชุมวาระพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้งฉบับ กระทั่งเวลา 15.00 น. นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษก กรธ. แถลงหลังการประชุมว่า การทบทวนร่างฯในขณะนี้อยู่ในส่วนของโครงสร้างอำนาจรัฐสภา กรธ.ต้องรอบคอบ เนื่องจากมีรายละเอียดมาก แต่ส่วนใหญ่ยึดตามหลักการเดิม พร้อมกันนี้ได้หารือเพื่อความรัดกุม เช่น การตัดสิทธิทางการเมืองทุกระดับตลอดชีวิตในฐานความผิดทุจริต หารือกันว่าต้องตัดสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิตด้วยหรือไม่ บางฝ่ายกังวลว่าจะรุนแรงเกินไปหรือไม่ เพราะจะทำให้ชีวิตทางการเมืองของบุคคลนั้นตายไปเลย จึงยังไม่มีข้อสรุปในส่วนนี้ ส่วนการเลือกตั้งล่วงหน้านั้นก็ทำท่าจะไม่ให้มี เพราะหลายฝ่ายมองตรงกันว่า ส่อให้เกิดการทุจริตได้ง่าย โดยกำหนดเวลาลงคะแนนเลือกตั้งอาจจะขยายจากเดิม 08.00-15.00 น. เป็น 08.00-17.00 น. เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ติดงาน ติดธุระมีเวลามาลงคะแนน

ต้องทำงานหนักฝ่าด่านประชามติ

นายชาติชายกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองประกาศรณรงค์คว่ำประชามติว่า กรธ.ได้หารือกันถึงประเด็นดังกล่าวแล้วเห็นว่า การวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคการเมือง หมายถึง กรธ.ต้องทำงานให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะประเด็นการรับฟังความคิดเห็นและชี้แจงเนื้อหาที่ถูกโจมตีระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว หรือการให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าไม่ได้เป็นการเพิ่มอำนาจให้องค์กรใดเลย เดิมศาลรัฐธรรมนูญก็มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และประเทศเราก็เป็นระบบศาลปิด ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในหมวดศาล ไม่ใช่องค์กรอิสระ ประเทศเราเป็นระบบศาลปิด หากต้องการจะให้มีการเลือกตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เราก็จะต้องเลือกตั้งผู้พิพากษาทั้งศาลแพ่งศาลอาญาด้วยใช่หรือไม่

“บิ๊กตู่” ปรี๊ดถามประเด็น คสช.เว้นวรรค

วันเดียวกัน เวลา 11.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวกรณีนายเจตน์ โทณวณิก ที่ปรึกษา กรธ.เสนอร่างรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาลให้ คสช.เว้นวรรคดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีว่า “ก็ผมจะไปหรือยังล่ะ ผมจะไปถึงตรงนั้นหรือยัง จะเว้นวรรคยังไง ถามว่าใครจะไปเล่นการเมืองล่ะ” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า อาจจะเป็นสมาชิก คสช. พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ก็บอกมาสิ สมาชิกใน คสช.นี่เป็นใคร ไม่ต้องมีเผื่อ เดี๋ยวเขาก็คิดกันเองแหละ” เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบแบบใส่อารมณ์ต่อเนื่องว่า “ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะเขียนหรือไม่เขียนก็ว่าไปเถอะ ไม่ต้องมามั่นใจ ทำไมพวกเธอถึงไม่ไปมั่นใจพวกคนเลวๆ ที่จะเข้ามาอีกล่ะ ไปเขียนล็อกพวกนั้นไม่ได้ อย่าเลย ฉันพูดกับเธอมันไม่เกิดประโยชน์หรอก ผมอารมณ์ไม่ดี ทุกทีแหละ ผมแกล้งอารมณ์ไม่ดีตลอด พอแกล้งไปแกล้งมาเป็นจริงทุกที ไอ้พวกนี้มันชอบกระตุ้น แต่ไม่ได้โกรธเธอหรอก แต่พวกเธอต้องเข้าใจสิว่า วันนี้เรากำลังแก้ไขปัญหาอยู่ กำลังวางพื้นฐานประเทศอยู่ แล้วต้องปฏิรูปให้ได้ แต่ทุกคนไม่ยอมรับอะไรเลย ใครจะทำล่ะ แบบประชาธิปไตยจะทำได้อีกไหม”

กะซวกสื่อขยายความให้พวกหนีคดี

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า “ทำไมไม่ใช้ประโยชน์กับผมวันนี้บ้าง ให้ทำงานตรงนี้ให้ได้ ไปฟังพวกหนีคดีอยู่นั่น มันผิดกฎหมายไม่ใช่หรือ ผิดอะไรบ้างเยอะแยะไปหมด แล้วไม่จับ ก็เปิดโอกาสให้เขาพูดอยู่นี่ แต่ไม่ใช่พูดส่งเดช ถ้าเล่นจริงนะ เขาพูดแล้วเธอทำลงหนังสือพิมพ์มาขาย เขาก็ผิดเธอก็ผิด เพราะกฎหมาย คสช.เขียนไว้อย่างนั้นเลยนะจะบอกให้ แต่เราก็ไม่ใช้ทั้งหมด แต่สื่อก็ไปเขียนอยู่ได้ว่า คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน ขอถามว่ากระบวนการจับกุมมีจำนวนมากหรือไม่ มันมีทุกวัน จับแบบไหนก็คือจับ จับตามกฎหมายเท่านั้นเอง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์เผลอไปเหยียบขาไมโครโฟน ทำให้ตัวเอนไปมาเล็กน้อย แต่ยังสามารถใช้มือคว้าประคองไมค์และขาไมค์ได้ทัน ก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ล้มง่ายๆหรอก จะเจาะยางยังไงก็ไม่ล้ม เพราะต้องยืนถึงให้มั่น”

แจงกรณีทหารสแกนบ้านนักข่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีทหารเข้าไปสังเกตการณ์ บ้านพักผู้สื่อข่าวคนหนึ่งย่านสุขาภิบาล 5 ซึ่งได้ไปทำข่าวเปิดบ้านของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงปีใหม่ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่นายกฯเคยถามถึงว่าสนุกและไปรับของขลังอะไรมาหรือเปล่า พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า คงเป็นการไปลาดตระเวนของทหารในพื้นที่ของหน่วยนั้นๆมากกว่า ก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร เดี๋ยวสั่งให้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ตำรวจก็ไม่ต้องไปดูแล มีเรื่องก็ให้รับผิดชอบกันเอง

ต่อมา พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ได้รับรายงานว่า รถทหารที่เข้าไปยังบ้านผู้สื่อข่าวดังกล่าวเป็นการลาดตระเวนตามปกติของหน่วยรักษาความสงบในพื้นที่ โดยรถยนต์ที่ใช้เป็นรถยนต์ดัดแปลงที่ภาษาทหารเรียกว่า รถ 50

พบรถคล้ายจีเอ็มซีจอดซุ่มโป่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ที่รถทหารเข้าไปลาดตระเวนที่บ้านผู้สื่อข่าว นสพ.ฉบับหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.20 น. วันที่ 20 ม.ค. มีรถทหาร 50 ที่มีลักษณะคล้ายรถจีเอ็มซี พร้อมกำลังทหารประมาณ 7 นาย ได้เข้าไปยังถนนสุขาภิบาล 5 ซอย 32 แยก 4 ซึ่งเป็นซอยตัน บุคคลที่จะเข้าไปซอยดังกล่าวจะเป็นเฉพาะญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่เท่านั้น จะไม่มีบุคคลภายนอกผ่านเข้าไป เนื่องจากไม่ใช่ถนนสายหลักหรือทะลุเชื่อมต่อไปที่ใดได้ และปกติไม่เคยมีการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่มาก่อนแต่อย่างใด ชาวบ้านใกล้เคียงจึงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ตามแขวะสื่อรับตะกรุดของขลัง