ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,547.89 จุด เพิ่มขึ้น 7.98 จุด มีมูลค่าการ ซื้อขาย 46,178.57 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,344.33 ล้านบาท
หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด ADVANC ปิด 232 บาท บวก 4 บาท, EVER ปิด 3.96 บาท บวก 0.88 บาท, BTC ปิด 1.67 บาท บวก 0.31 บาท, RPC ปิด 1.47 บาท บวก 0.26 บาท และ JAS ปิด 7.25 บาท บวก 0.30 บาท
ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งหุ้นไทยกลับมาสดใส แม้ตลาดหุ้นไทยจะเต็มไปด้วยแรงซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นขนาดกลางและเล็ก ดันมูลค่าการซื้อขายทะยานขึ้นมาติดท็อป 10 ยกแผง โดยนักลงทุนขาใหญ่ ขาเล็ก รายย่อย รายใหญ่หันมาตะลุมบอนเล่นหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กกันทั้งตลาด มีเพียงกองทุนหรือสถาบันในประเทศที่กลับมาเก็บหุ้นดีหุ้นใหญ่ราคาต่ำเข้าพอร์ต ในขณะที่ต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
บล.ทิสโก้คาดธนาคารกลางยุโรปน่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม หลังผลการทดสอบภาวะวิกฤติ หรือ Stress Test ของธนาคารในยุโรปมีธนาคาร 25 แห่ง จาก 130 แห่งที่ไม่ผ่านการทดสอบถือว่าผลที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ซึ่งในการประชุมต้นเดือน พ.ย.คาดว่าน่าจะมีกรอบของ QE ให้ได้เห็น
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ กรณีกระทรวงคมนาคมประเมินแผนยุทธศาสตร์พัฒนาคมนาคมขนส่ง 8 ปี เม็ดเงิน 3 ล้านล้านบาท เป็นผลดีต่อหุ้นรับเหมาก่อสร้างระยะยาว รวมทั้งติดตามเม็ดเงินของกองทุนทิกเกอร์ฟันด์คาดว่าจะเข้าตลาดในช่วงที่เหลือของปลายปีนี้ไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ยังไม่นับเงินจากกองทุน LTF และ RMF
กลยุทธ์ให้ทยอยสะสมหุ้น แนะหุ้นรับเหมา เช่น CK-UNIQ-ITD ขณะที่ในระยะ 1-2 สัปดาห์ต่อจากนี้ ประเมินว่าดัชนีจะแกว่งในกรอบ 1,550-1,560 จุด
ปิดท้าย มีบทวิเคราะห์กลุ่มธนาคารของ บล.ทรีนีตี้ ที่ให้น้ำหนักลงทุน “เท่ากับตลาด” ขณะที่แนะนำซื้อ KBANK (ให้ราคาเป้าหมาย 255 บาท) และ KTB (เป้า 27 บาท) เลือกเป็น Top pick มีปัจจัยหนุนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐ ซึ่งคาดทั้ง 2 ธนาคารจะได้ประโยชน์ และยังมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่จะหนุนการเติบโตของกำไร!!
อินเด็กซ์ 51